4 ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก : ให้นมลูกถูกท่า ปลอดภัยกับลูกน้อย

undefined

ท่าให้นมที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ยังช่วยป้องกันการสำลัก มาดูกันว่า ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก มีท่าไหนบ้าง

ท่าให้นมที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ยังช่วยป้องกันการสำลัก ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้ มาดูกันว่า ท่าให้นม ท่าป้อนนม ท่าไหนที่ทารกสำลักง่าย และ ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก ปลอดภัยกับลูกน้อย มีท่าไหนบ้าง

 

สาเหตุที่ทำให้ทารกสำลักนม

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ทารกสำลักนมมักเกิดจากปัจจัยทางสรีรวิทยาของทารกและเทคนิคการป้อนนมที่ไม่เหมาะสม ดังนี้

  • ระบบการกลืนยังไม่สมบูรณ์ ทารกแรกเกิดยังมีกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่ควบคุมการดูด กลืน และหายใจที่ยังทำงานไม่สัมพันธ์กันเท่าที่ควร บางครั้งอาจกลืนไม่ทันหรือควบคุมทิศทางของนมได้ไม่ดีพอ
  • นมไหลเร็วเกินไป สำหรับคุณแม่บางท่าน นมอาจพุ่งออกมาแรงและเร็วจนทารกกลืนไม่ทัน ทำให้สำลักได้
  • การเลือกจุกนมที่ไม่เหมาะสม การใช้จุกนมที่มีรูใหญ่เกินไป หรือจุกนมที่ทำให้นมไหลเร็วเกินไปสำหรับวัยของทารก จะทำให้นมทะลักเข้าปากทารกเร็วเกินไปจนกลืนไม่ทัน
  • ท่าให้นมที่ไม่เหมาะสม การป้อนนมในท่านอนหงายราบ ทำให้แรงโน้มถ่วงพานมไหลเข้าสู่ลำคอโดยตรง ทารกควบคุมการไหลของนมได้ยาก และเสี่ยงที่นมจะไหลย้อนเข้าหลอดลมได้ง่าย

 

ท่าให้นมที่ควรระวัง: ต้นเหตุของการสำลัก

ท่าให้นมที่ไม่เหมาะสมคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงต่อการสำลักนม โดยเฉพาะ ท่านอนหงาย ไม่ว่าจะเป็นการให้นมจากเต้าหรือขวด ถือเป็นท่าที่ควรหลีกเลี่ยง

ทำไมท่านอนหงายจึงอันตราย?

เมื่อทารกอยู่ในท่านอนหงายราบ นมจะไหลเข้าสู่คอด้วยแรงโน้มถ่วงโดยตรง ทำให้ทารกควบคุมการกลืนได้ยาก และเสี่ยงที่นมจะไหลย้อนเข้าหลอดลม แทนที่จะลงสู่หลอดอาหารและกระเพาะ การที่นมเข้าไปในหลอดลมเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการไอและสำลักได้ แต่หากนมปริมาณมากไหลเข้าสู่ปอด ก็อาจนำไปสู่ภาวะ ปอดอักเสบจากการสำลัก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้ที่อันตรายที่สุดคือ การหนุนขวดนมทิ้งไว้แล้วปล่อยให้ลูกกินนมแต่เพียงลำพัง เพราะลูกน้อยอาจสำลักนมเข้าปอดโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ หรือนำไปสู่การติดเชื้อในปอดที่รุนแรงได้

ท่าให้นม นอนหงาย อันตราย

4 ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก

ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก หลักการสำคัญคือ ทารกควรอยู่ในท่าที่ศีรษะอยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อยเสมอ เพื่อให้แรงโน้มถ่วงช่วยพานมไหลลงสู่กระเพาะอาหารได้สะดวก และช่วยให้ลูกน้อยควบคุมการกลืนได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับทารกที่คอยังไม่แข็งแรง คุณแม่จำเป็นต้องประคองศีรษะและลำตัวของลูกให้มั่นคง โดยมีท่าที่แนะนำดังนี้

1. ท่านั่งป้อน (ไม่นอนราบ)

อุ้มทารกให้อยู่ในท่านั่งเอียงเล็กน้อยบนตักของคุณแม่ พยุงศีรษะและหลังของลูกให้ตั้งตรงสัมพันธ์กับลำตัว การจัดท่าเช่นนี้ช่วยให้นมไหลลงตรงและลดโอกาสที่นมจะย้อนกลับเข้าหลอดลม

2. ท่า Koala (หัวสูง ก้นต่ำ / Football Hold)

อุ้มทารกในลักษณะกึ่งนั่งหรือกึ่งเอน โดยให้ศีรษะของลูกอยู่สูงกว่าระดับก้นเล็กน้อย คุณแม่สามารถใช้แขนประคองลำตัวและศีรษะของลูกไว้ หรือจะใช้หมอนรองให้นมช่วยพยุงก็ได้ ท่านี้เหมาะอย่างยิ่งเมื่อทารกดูดนมจากเต้า เพราะช่วยให้ลูกเข้าเต้าได้ดีและควบคุมการไหลของนมได้ง่ายขึ้น

ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก

3. ท่านอนตะแคง

วางทารกให้นอนตะแคงโดยหันหน้าเข้าหาคุณพ่อคุณแม่ ใช้มือประคองศีรษะและลำตัวของลูกให้มั่นคง ท่านี้ช่วยลดแรงดันและให้นมไหลออกทางมุมปากได้หากมีการแหวะหรือสำลักเล็กน้อย

4. ท่านอนตะแคง (หัวสูง ก้นต่ำ)

ป็นการประยุกต์ท่านอนตะแคง โดยให้ศีรษะของลูกอยู่สูงกว่าลำตัวและก้นเล็กน้อย อาจใช้หมอนรองหรือจัดท่าให้ปลายเตียงสูงขึ้นเล็กน้อย ท่านี้จะช่วยให้การไหลของนมเป็นไปอย่างนุ่มนวลขึ้น และลดความเสี่ยงของการสำลักได้ดีกว่าท่านอนตะแคงแบบราบ

 

เทคนิคสำหรับคุณแม่

กรณีเข้าเต้า

  • คุณแม่เอนหลัง

ท่านี้คือการที่คุณแม่เอนตัวลงเล็กน้อย (ประมาณ 45-60 องศา) โดยให้ลูกน้อยนอนคว่ำบนตัวคุณแม่ ศีรษะอยู่บริเวณหน้าอก การเอนหลังจะช่วยให้แรงโน้มถ่วงทำงานกับคุณแม่มากขึ้น ส่งผลให้การไหลของนมที่พุ่งแรง ช้าลงและควบคุมได้ง่ายขึ้น ลูกน้อยจะสามารถดูดกลืนได้อย่างเป็นธรรมชาติและลดโอกาสที่จะสำลักนมที่พุ่งแรงเกินไป

  • สังเกตสัญญาณการกลืนและหยุดพัก

ขณะให้นม ให้สังเกตเสียงกลืนของลูก หากลูกดูดเร็วและกลืนติดๆ กันจนดูเหมือนควบคุมไม่ได้ คุณแม่อาจลองถอดเต้าออกชั่วคราวเพื่อให้ลูกได้พักหายใจและกลืนนมที่ค้างอยู่ในปากให้หมดก่อน แล้วค่อยให้ดูดต่อ การหยุดพักเป็นระยะจะช่วยให้ลูกไม่สำลัก

 

ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก

กรณีป้อนจากขวด

  • ป้อนช้าๆ และจับขวดราบๆ

แทนที่จะยกก้นขวดสูง การจับขวดนมให้ค่อนข้างราบ หรือเกือบขนานกับพื้น จะช่วยควบคุมปริมาณนมที่ไหลเข้าสู่ปากลูกได้ การทำเช่นนี้ทำให้นมไม่ไหลทะลักออกมาเร็วเกินไป ลูกจะสามารถดูดและกลืนได้ช้าลง เป็นจังหวะ และควบคุมการไหลของนมได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการสำลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เลือกจุกนมที่เหมาะสมกับวัยและอัตราการไหล

จุกนมมีหลายขนาดและหลายระดับการไหล การเลือกจุกนมที่เหมาะสมกับวัยของทารกจะช่วยให้นมไหลในอัตราที่พอเหมาะ ไม่เร็วหรือช้าเกินไปสำหรับความสามารถในการดูดกลืนของลูก หากลูกยังเล็ก ควรใช้จุกนมที่มีรูเล็กหรือไหลช้า และค่อยๆ เปลี่ยนขนาดเมื่อลูกโตขึ้น

 

สังเกตสัญญาณการอิ่มของทารก

การสังเกต สัญญาณการอิ่มของลูกเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะเป็นการให้นมจากเต้าหรือขวด หากลูกเริ่มมีอาการ ไม่ดูดต่อ หันหน้าหนี หรือผละออก แสดงว่าลูกอาจอิ่มแล้ว การบังคับให้กินต่ออาจทำให้ลูกแหวะนมหรือสำลักได้ การเคารพสัญญาณของลูกจะช่วยให้ลูกมีความสุขกับการกินและป้องกันปัญหาต่างๆ ได้

 

เมื่อลูกแหวะนมหรือสำลักนม ควรอุ้มท่าไหน

แม้จะระมัดระวังเพียงใด บางครั้งลูกน้อยก็อาจมีอาการแหวะนมหรือสำลักนมได้ คุณแม่ต้องตั้งสติและรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อลูกสำลักนม

  • ห้ามจับลูกนอนหงาย หรือจับนอนราบทันที: การทำเช่นนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่นมจะไหลย้อนกลับเข้าสู่หลอดลมและปอด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง

สิ่งที่ควรทำเมื่อลูกสำลักนม

  • จับลูกนอนตะแคงและศีรษะต่ำลง: ควรจับลูกนอนตะแคงหันหน้าออกจากตัวคุณแม่ โดยให้ศีรษะลูกอยู่ต่ำกว่าลำตัวเล็กน้อย การจัดท่านี้จะช่วยให้แรงโน้มถ่วงพานมที่สำลักออกมา ไหลออกทางมุมปาก แทนที่จะไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดลมหรือปอด
  • ใช้ท่าอุ้มคว่ำหน้า (Magic Hold): หากลูกยังคงสำลักอยู่ สามารถอุ้มลูกในท่าคว่ำหน้าพาดแขน โดยให้ศีรษะลูกอยู่ต่ำกว่าลำตัวเล็กน้อย แล้วใช้มือลูบหลังลูกเบาๆ วิธีนี้จะช่วยให้นมที่ติดค้างอยู่ไหลออกมาได้ง่ายขึ้น

 

การให้นมลูกในท่าที่ถูกต้อง ท่าให้นม ลดเสี่ยงสำลัก รวมถึงการเรียนรู้วิธีรับมือเมื่อลูกสำลัก เป็นมากกว่าแค่เรื่องความสบาย แต่หัวใจคือความปลอดภัยและส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

ที่มา : hellokhunmor , นมแม่แฮปปี้

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ผลไม้อะไรไม่ควรกินตอนให้นม

ลูกกินนมน้อย ผิดปกติไหม แม่ให้นม ต้องแก้ไขอย่างไร

8 เทคนิคให้นมลูกแบบถนอมทรง แม่ให้นมหน้าอกยังสวย กระชับ ไม่หย่อนยาน

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!