ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อเติมเต็มชีวิตพ่อแม่ อย่าใช้ลูกเติมเต็มชีวิตคุณ!

พ่อแม่มักเข้าใจผิดว่าลูกจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในชีวิต แต่จริงๆ แล้ว ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อเติมเต็มชีวิตพ่อแม่ มาทบทวนบทบาทแท้จริงของพ่อแม่กัน
การมีลูกคือความสุขยิ่งใหญ่ ที่มาพร้อมกับความหวัง และความคาดหวังมากมาย แต่บ่อยครั้งที่ความคาดหวังอาจแฝงด้วยความเข้าใจผิดว่าลูกจะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในชีวิต หรือเป็นคำตอบของทุกปัญหาที่เรามี แต่ความจริงแล้ว ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อเติมเต็มชีวิตพ่อแม่ บทความนี้จึงอยากชวนพ่อแม่ทุกท่านมาทบทวนและทำความเข้าใจบทบาทที่แท้จริงของความเป็นพ่อแม่กันค่ะ
ความเข้าใจผิดของพ่อแม่เมื่อมีลูก
การมองว่าลูกคือศูนย์กลางชีวิตและคาดหวังให้พวกเขามาเติมเต็มสิ่งที่เราขาดหายไป เป็นกับดักทางจิตวิทยาที่ส่งผลกระทบต่อลูกและความสัมพันธ์ในครอบครัว
-
ลูกคือความสำเร็จของพ่อแม่
การมองว่าลูกคือ “ผลงานชิ้นโบว์แดง” ที่สะท้อนความสามารถและความสำเร็จของพ่อแม่ ทำให้ลูกรู้สึกกดดันและสูญเสียตัวตน
ตัวอย่าง: พ่อแม่มักโพสต์รูปผลการเรียนดีเด่นหรือรางวัลที่ลูกได้รับลงโซเชียลมีเดียเป็นประจำ พร้อมข้อความภาคภูมิใจราวกับเป็นความสำเร็จของตนเอง หรือมักเล่าเรื่องความสามารถของลูกให้คนอื่นฟังอย่างละเอียด เพื่อให้คนอื่นชื่นชมตนเองในฐานะพ่อแม่ที่ดี
บทความที่เกี่ยวข้อง โพสต์อวดเกรดลูก ความภูมิใจของแม่ อาจทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
-
ลูกคือความสุขเดียวในชีวิต
การยึดติดว่าความสุขของตนขึ้นอยู่กับลูกทั้งหมด และคาดหวังให้ลูกเป็นแหล่งความสุขที่ไม่สิ้นสุด ทำให้พ่อแม่พยายามควบคุมลูกมากเกินไป
ตัวอย่าง: แม่ที่ทุ่มเทชีวิตให้ลูกมาตลอด พอถึงวัยที่ลูกแยกออกไปอยู่เอง ก็รู้สึกหดหู่ ซึมเศร้าอย่างรุนแรง และมักโทรศัพท์เช็กความเคลื่อนไหวของลูกบ่อยครั้งจนลูกรู้สึกอึดอัด เพราะแม่ไม่มีความสุขหรือกิจกรรมอื่นใดที่ทำร่วมกับคนอื่นเลยนอกจากลูก
-
ลูกคือผู้เติมเต็มช่องว่าง
การใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์ที่ตนเองขาด เช่น ความเหงา, ความรู้สึกไม่สมบูรณ์ ลูกไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนที่มีความต้องการ ความรู้สึก และความคิดเป็นของตัวเอง แต่เป็นแค่ “ส่วนหนึ่ง” ที่มาตอบสนองความต้องการของคุณ
ตัวอย่าง: พ่อที่รู้สึกเหงาหลังจากหย่าร้าง พยายามชวนลูกไปทำกิจกรรมด้วยกันตลอดเวลา คาดหวังให้ลูกเป็นเหมือนเพื่อนสนิท และไม่พอใจเมื่อลูกอยากไปใช้เวลากับเพื่อนในวัยเดียวกัน ทำให้ลูกรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบความสุขของพ่อ
-
ลูกคือผู้สานฝันที่ไม่สำเร็จของพ่อแม่
การพยายามให้ลูกทำตามความฝันของตนเองที่ยังไม่สำเร็จ โดยไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของลูก ทำให้ลูกเกิดความเครียดและขาดแรงจูงใจที่แท้จริง
ตัวอย่าง: พ่อที่เคยเป็นนักฟุตบอลแต่มีอาการบาดเจ็บจนต้องเลิกเล่น หวังให้ลูกชายประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ จึงบังคับลูกชายให้ซ้อมฟุตบอลอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ลูกจะแสดงออกว่าไม่ชอบ และอยากเล่นดนตรีมากกว่าก็ตาม
บทบาทที่แท้จริงของความเป็นพ่อแม่
หลายคนอาจคิดว่าการเป็นพ่อแม่คือการ “ปั้น” ลูกให้เป็นไปตามแบบที่เราต้องการ ให้ลูกเป็นอย่างที่เราฝัน อยากให้ลูกเป็นหมอ ก็พยายามผลักดันทุกวิถีทาง แต่ในทางจิตวิทยาแล้ว ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อเติมเต็มชีวิตพ่อแม่ เราจึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่มามองตัวเองเป็นเหมือน “คนสวน” ที่ดูแลต้นกล้าเล็กๆ ให้เติบโตอย่างงดงามตามธรรมชาติของมัน ไม่ใช่ “ช่างปั้น” ที่พยายามบีบให้ดินเหนียวเป็นรูปทรงที่กำหนดไว้
ตอนนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า แท้จริงแล้วบทบาทของเราในฐานะพ่อแม่คืออะไรกันแน่ และทำไมการปรับมุมมองนี้จึงสำคัญต่อความสุขของทั้งครอบครัว
-
เป็น “ผู้ชี้นำ” ไม่ใช่ “ผู้บงการ”
บทบาทของพ่อแม่คือการเป็น ผู้ชี้นำ และ สนับสนุน ให้ลูกค้นพบศักยภาพตัวเอง ไม่ใช่การบังคับให้ลูกทำตามที่เราอยากได้ การให้ลูกได้ลองผิดลองถูก จะช่วยสร้างความมั่นใจในตนเองให้ลูก แต่หากถูกบงการหรือถูกคาดหวังให้ทำตามที่พ่อแม่ต้องการเสมอ เด็กอาจรู้สึกผิด ไม่กล้าตัดสินใจ หรือขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเอง
ทำอย่างไร?: แทนที่จะบอกลูกว่า “ลูกต้องเรียนพิเศษคณิตศาสตร์นะ” ลองเปลี่ยนเป็น “ลูกชอบเรียนรู้อะไรเป็นพิเศษไหม? พ่อแม่เห็นว่าลูกมีความสามารถเรื่องนี้/สนใจเรื่องนี้ ลองมาคุยกันดูว่ามีกิจกรรมไหนที่ลูกอยากลองทำดูบ้าง” การเปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกและลองผิดลองถูกภายใต้การดูแลของเรา จะช่วยให้พวกเขารู้จักตัวเองมากขึ้นค่ะ
-
เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ไม่ใช่ “กรงขัง”
บ้านควรเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่เต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และโอกาสในการเรียนรู้ เมื่อลูกรู้สึกปลอดภัย พวกเขาจะกล้าสำรวจโลกและพัฒนาการจัดการอารมณ์ที่ดี
ทำอย่างไร?: ลองสำรวจดูว่าบ้านของเราเป็นพื้นที่ที่ลูกรู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเองหรือไม่? ลูกสามารถบอกความรู้สึกที่แท้จริงได้ไหม? เราให้โอกาสลูกได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ผิดพลาดบ้าง และเรียนรู้จากมันหรือไม่? การจัดหาหนังสือ ของเล่นเสริมพัฒนาการ หรือแม้แต่แค่การนั่งฟังลูกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันด้วยความใส่ใจ ก็เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีแล้วค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง ลูกคือกระจกสะท้อนพ่อแม่ สร้างลูกให้ดี เริ่มที่ตัวเรา
-
เป็น “ผู้เรียนรู้” ไม่ใช่ “ผู้รู้ทุกอย่าง”
การเป็นพ่อแม่คือการเดินทางที่เราเองก็ต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลา การเปิดใจเรียนรู้ ยอมรับความผิดพลาด และปรับตัว จะช่วยให้เราเป็นพ่อแม่ที่ยืดหยุ่น และเติบโตไปพร้อมกับลูก
ทำอย่างไร?: ลองเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของลูก แม้จะไม่ตรงกับเราทุกอย่าง เรียนรู้จากสิ่งใหม่ๆ ที่ลูกพามาให้รู้จัก เช่น เทคโนโลยี หรือวัฒนธรรมสมัยใหม่ การยอมรับว่าเราก็มีข้อผิดพลาดได้ และพร้อมที่จะขอโทษลูกเมื่อทำผิด ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะสอนให้ลูกเห็นคุณค่าของการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง ลูกผิดได้ พ่อแม่ก็ผิดได้ พ่อแม่ที่ดีต้องกล้าขอโทษลูกเมื่อตัวเองทำผิด
-
เป็น “ผู้ยอมรับ” ไม่ใช่ “ผู้ครอบครอง”
ลูกคือคนที่มีความคิด ความรู้สึก และความต้องการเป็นของตัวเอง ไม่ใช่ส่วนขยายของเรา การยอมรับและสนับสนุนให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง จะช่วยให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพ
ทำอย่างไร?: ลองถามตัวเองว่า “เรากำลังรักลูกในแบบที่เขาเป็น หรือในแบบที่เราอยากให้เขาเป็น?” ให้พื้นที่ลูกได้แสดงออกถึงความรู้สึก ความคิดเห็น และความชอบของตัวเอง แม้สิ่งเหล่านั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวังหรือเข้าใจ การยอมรับและชื่นชมในความแตกต่างของลูก จะเป็นรากฐานสำคัญให้ลูกมีความภาคภูมิใจในตนเอง และกล้าที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เขาเลือกค่ะ
การปรับมุมมองของพ่อแม่จะช่วยให้เรามองเห็นบทบาทที่แท้จริงของตนเอง นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรักและความสุขที่ยั่งยืนในครอบครัวค่ะ
ลูกไม่ได้เกิดมาเพื่อเติมเต็มชีวิตพ่อแม่ ความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตมาจากตัวเราเอง ไม่ใช่การพึ่งพิงผู้อื่น แม้กระทั่งลูกของเรา การปรับมุมมองของพ่อแม่จะช่วยให้เรามองเห็นบทบาทที่แท้จริงของตนเอง และการปลดปล่อยความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่และลูกมีความสุขและเติบโตไปด้วยกันอย่างแท้จริง
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
7 วิธีทำให้ลูกโชคดีที่มีเราเป็นพ่อแม่
ครอบครัวแบบไหนไม่ทำร้ายเด็ก สร้างพื้นที่ปลอดภัย เป็นความสบายใจให้ลูก
เคล็ดลับสร้างวินัยเชิงบวกให้ลูก เลี้ยงลูกแบบ ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน