วิธีนับอายุครรภ์ นับอย่างไร มีวิธีการนับที่แม่นยำแบบไหนบ้าง

undefined

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กันด้วยนะคะ คุณแม่อาจจะเคยได้ยินคำถามนี้บ่อย ๆ ว่า ท้องได้กี่เดือนแล้ว ใกล้คลอดหรือยัง คุณแม่ทราบหรือไม่คะ ว่าต้องนับอายุครรภ์อย่างไรถึงจะถูกต้อง โดยการนับอายุครรภ์ แบบนับสัปดาห์นับกันอย่างไร มีวิธีการนับอย่างไรบ้าง ในวันนี้เรามีเกร็ดความรู้เรื่องวิธีการ นับอายุครรภ์ มาฝากคุณแม่ เรามาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ

 

นับอายุครรภ์ สำคัญอย่างไร

เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ การนับอายุครรภ์ ถือเป็นเรื่องที่คุณแม่ต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก เมื่อคุณแม่ทราบอายุครรภ์นั้น จะสามารถบ่งบอกความสมบูรณ์ของเด็กที่อยู่ในครรภ์ได้ และช่วยให้แพทย์สามารถช่วยวินิจฉัย รวมถึงการวางแผนการตั้งครรภ์ กำหนดระยะเวลาในการคลอดแบบคร่าว ๆ ให้ทราบได้ และคุณแม่เอง ก็ยังสามารถทราบได้อีกว่า มีภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์หรือไม่ เพื่อที่แพทย์จะได้หาทางรักษาและแนวทางการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง

 

นับอายุครรภ์อย่างไร การนับอายุครรภ์เป็นวีค

การตั้งครรภ์จนถึงวันคลอด รวมทั้งหมด 40 สัปดาห์ หรือรวมเป็นจำนวนวันทั้งหมด 280 วัน โดยจะเริ่มนับจากวันแรกที่ประจำเดือนมาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้เริ่มนับจากวันสุดท้ายของการมีประจำเดือน หรือนับวันที่ประจำเดือนจะมาแต่ไม่มา เช่น ประจำเดือนรอบที่มาล่าสุด คือ วันที่ 1 มิถุนายน และประจำเดือนวันสุดท้ายมาวันที่ 5 มิถุนายน กำหนดที่ประจำเดือนจะมาในครั้งต่อไปคือ วันที่ 28 – 29 มิถุนายน ดังนั้นประจำเดือนที่มาครั้งสุดท้ายก็คือ วันที่ 1 มิถุนายน

บทความที่เกี่ยวข้อง : อาการคนท้องไตรมาสแรก ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

 

นับอายุครรภ์

การคำนวณวันกำหนดคลอด

นำวันแรกของประจำเดือนครั้งล่าสุด บวกหนึ่งปี ลบสามเดือน และบวกอีกเจ็ดวัน ก็จะได้วันกำหนดคลอดแบบคร่าว ๆ

ตัวอย่างเช่น : วันมีประจำเดือนวันแรก (ของครั้งล่าสุด) = 8 พฤษภาคม 2552

  • +1 ปี = 8 พฤษภาคม 2553
  • -3 เดือน = 8 กุมภาพันธ์ 2553
  • +7 วัน = 15 กุมภาพันธ์ 2553

วิธีการนับอายุครรภ์ หรือ คาดคะเนอายุครรภ์ มีประโยชน์ในการดูแล ประเมินสุขภาพ และพัฒนาการต่าง ๆ ของทารก ขณะตั้งครรภ์ให้ถูกต้องแม่นยำ นอกจากนั้นอายุครรภ์ยังใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดวันคลอด โดยไม่ปล่อยให้ตั้งครรภ์นานจนเกินกำหนด หรือ คลอดก่อนกำหนดค่ะ

อายุครรภ์ คือ อายุของเด็กที่ยังไม่คลอด นับตั้งแต่วันแรกของรอบเดือนสุดท้าย จนถึงคลอดโดยปกติใช้ระยะเวลา 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน ก็คือ วันคลอด

วิธีการนับการตั้งครรภ์ ดูอายุครรภ์ การคาดคะเนอายุครรภ์ มีหลายวิธี

  • วิธีการ นับอายุครรภ์ จากประวัติประจำเดือน

นับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย เป็นวันเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ กำหนดวันคลอดให้นับไปอีก 40 สัปดาห์ หรือ 280 วัน หรือใช้สูตรของ Naegale’s Rule คือ วันแรกของการมีประจำเดือนวันสุดท้าย (LMP) – 3 เดือน + 7 วัน
ตัวอย่าง วันแรกของการมีประจำเดือนวันสุดท้าย (LMP) คือ 1 ม.ค กำหนดวันคลอด คือ (1 ม.ค. – 3 เดือน ) + 7 วัน = 8 ต.ค

กรณีจำประจำเดือนไม่ได้ คุณหมอ หรือพยาบาลจะซักประวัติตามสถานการณ์ที่ใกล้เคียงเช่น วันเกิด ปีใหม่ สงกรานต์ เป็นต้น เพื่อประมาณคร่าว ๆ ของอายุครรภ์

  • วิธีการนับอายุครรภ์ จากขนาดของยอดมดลูก

ใช้สัดส่วนของยอดมดลูก กับหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์ วิธีวัดความสูงยอดมดลูกโดยการใช้สัดส่วนของยอดมดลูกกับหน้าท้องหญิงตั้งครรภ์ คุณหมอ หรือ ผู้เชี่ยวชาญจะคำนวณโดยแบ่งระยะระหว่างสะดือกับกระดูกหัวหน่าวเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน และแบ่งระยะระหว่างสะดือกับกระดูกลิ้นปี่เป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ซึ่งความสูงของยอดมดลูกแต่ละช่วงอายุครรภ์ จะมีความสัมพันธ์กันดังนี้

    • สัดส่วนของยอดมดลูกกับหน้าท้องมารดา
      • อายุครรภ์12 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะสูงประมาณ 1/3 เหนือกระดูกหัวหน่าว
      • อายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะสูงประมาณ 2/3 เหนือกระดูกหัวหน่าว
      • อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ยอดมดลูกอยู่ระดับสะดือ
      • อายุครรภ์24 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะสูงกว่าระดับสะดือเล็กน้อย
      • อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ยอดมดลูกอยู่ 1/4 เหนือระดับสะดือ
      • อายุครรภ์32 สัปดาห์ ยอดมดลูกอยู่ 2/4 เหนือระดับสะดือ
      • อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ ยอดมดลูกอยู่ 3/4 เหนือระดับสะดือ

หรือ อาจใช้การวัดระดับยอดมดลูก โดยใช้สายวัดทำได้โดยการวัดระยะจากรอยต่อของกระดูกหัวหน่าวไปจนถึงยอดมดลูก โดยแนบตามส่วนโค้งของมดลูก ซึ่งในช่วงอายุครรภ์ 18-30 สัปดาห์ ระยะที่วัดได้เป็นเซนติเมตร จะเท่ากับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น หากวัดได้ 26 เซนติเมตร ก็จะเท่ากับอายุครรภ์ 26 สัปดาห์ นั่นเอง

 

นับอายุครรภ์

 

  • การนับอายุครรภ์ คำนวณจากที่แม่รู้สึกว่าลูกดิ้นเป็นครั้งแรก

วิธีการนับอายุครรภ์ ให้นับจำนวนวันจากลูกดิ้นครั้งแรก (quickening) จนถึงวันที่ต้องการคำนวณ จะได้อายุครรภ์เป็นจำนวนวัน แล้วหารด้วย 7 จะได้อายุครรภ์เป็นจำนวนสัปดาห์จากนั้นบวกด้วยอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์สำหรับท้องแรก และบวกด้วยอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์สำหรับท้องหลัง แต่การคิดอายุครรภ์และกำหนดวันคลอดจากประวัติลูกดิ้นครั้งแรกนี้ จะมีความคลาดเคลื่อนได้มาก ไม่ค่อยนิยมใช้กันแล้ว

  • คำนวณจากการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์

การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasound) วิธีนี้สามารถบอกอายุครรภ์ได้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยจนถึงอายุครรภ์มาก ใช้สำหรับการคาดคะเนอายุครรภ์และกำหนดวันคลอดที่มีความแม่นยำโดยเฉพาะเมื่อมีการตรวจหลายครั้งติดตามต่อเนื่อง

 

วิธี นับอายุครรภ์ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน และ ไตรมาส

โดยปกติแล้วอายุการตั้งครรภ์จนถึงวันคลอดจะอยู่ที่ 40 สัปดาห์ หรือประมาณ 280 วัน

 

นับอายุครรภ์

 

  • ไตรมาสที่ 1

    • เดือนที่ 1 คือ สัปดาห์ที่ 1-4
    • เดือนที่ 2 คือ สัปดาห์ที่ 5-8
    • เดือนที่3 คือ สัปดาห์ที่ 9-13
  • ไตรมาสที่ 2

    • เดือนที่ 4 คือ สัปดาห์ที่ 14-17
    • เดือนที่5 คือ สัปดาห์ที่ 18-21
    • เดือนที่ 6 คือ สัปดาห์ที่ 22-26
  • ไตรมาสที่ 3

    • เดือนที่ 7 คือ สัปดาห์ที่ 27-30
    • เดือนที่ 8 คือ สัปดาห์ที่ 31-35
    • เดือนที่9 คือ สัปดาห์ที่ 36-40

การตั้งครรภ์ปกติจะครบกำหนดคลอดเมื่ออายุครรภ์ 40 สัปดาห์หรือ 280 วันนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย ถ้าตั้งครรภ์เกิน 42 สัปดาห์ถือเป็นการตั้งครรภ์เกินกำหนดและการคลอดก่อน 37 สัปดาห์ถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด

 

วิธี นับอายุครรภ์ และการคำนวณวันคลอดแบบถูกต้องแม่นยำ

วิธีนับอายุครรภ์ และการคำนวณวันคลอดแบบถูกต้องแม่นยำ ต้องนับอย่างไร เพราะแม่ท้องมักจะเจอคำถามที่ว่า ตอนนี้อายุครรภ์เท่าไหร่แล้ว และจะตั้งชื่อลูก ดูฤกษ์ไว้ก่อนได้ไหม แต่ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอายุครรภ์ของเราเท่าไหร่แล้ว

หลังจากว่าที่คุณแม่มือใหม่ได้ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเอง กับที่ตรวจครรภ์ และมีผลออกมาว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่คุณควรทำคือบอกสามีถึงข่าวดีนี้ และพากันไปตรวจการตั้งครรภ์ที่โรงพยาบาล เพื่อจะได้ฝากครรภ์กับคุณหมอ ซึ่งการตรวจกับคุณหมอก็จะทำให้คุณแม่ทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ในได้กี่สัปดาห์แล้ว สิ่งที่คุณแม่ต้องเตรียมพร้อมคือ การรู้ว่าตัวเองมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เพื่อที่คุณหมอจะได้ใช้ในการคำนวณอายุครรภ์ให้ค่ะ

 

วิธีการ นับอายุครรภ์ (Gestational age)

เป็นการนับอายุของทารกในครรภ์ โดยที่คุณหมอจะเริ่มนับจากวันแรกที่คุณแม่เริ่มมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย คุณหมอจะนับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ และเศษของสัปดาห์เป็นวัน เช่น 8 สัปดาห์ 4 วัน ซึ่งจะเป็นการดีหากทุกครั้งที่มีประจำเดือนคุณควรที่จะจดลงบนปฏิทินประจำเดือนที่มาวันแรก และวันสุดท้ายของประจำเดือนที่มาทุกเดือน เพราะจะทำให้การคำนวณอายุครรภ์เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

  • การนับอายุครรภ์ ทำให้ทราบถึงวันกำหนดคลอดของลูกน้อย

หลังจากที่คุณหมอตรวจร่างกายคุณแม่ด้วยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และสอบถามเกี่ยวกับการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณแม่แล้ว คุณหมอก็จะนับอายุครรภ์ด้วยการคำนวณวันกำหนดคลอด (Expected date of delivery หรือ EDD) นั่นคือการเอาวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย บวก 7 วัน ลบด้วย 3 เดือน ก็จะทราบได้ว่าวันกำหนดคลอดเมื่อไหร่

 

นับอายุครรภ์

วิธีนับอายุครรภ์สามารถนับได้ 2 แบบ คือ

  1. วิธีนับอายุครรภ์จากประจำเดือน จะมากกว่าอายุของตัวอ่อนในครรภ์จริง ๆ (Ovulatory age) ประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับแม่ท้องที่มีประจำเดือนมาปกติสม่ำเสมอทุก 28 วัน
  2. วิธีนับอายุครรภ์จากประจำเดือนที่มาไม่สม่ำเสมอ นั่นคือในผู้หญิงที่มีรอบเดือนนานกว่า 28 วัน หรือในกรณีที่จำไม่ได้ว่ามีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ซึ่งคุณหมอก็จะนับอายุครรภ์ให้ด้วยการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวนด์) เพื่อวัดขนาดของถุงการตั้งครรภ์ (Gestational Sac) หรือความยาวทารก (Crown Rump Length) แล้วคำนวณเป็นอายุครรภ์

การรู้อายุครรภ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณแม่ท้อง เพราะหลังจากที่ทราบอายุครรภ์แล้ว คุณหมอจะแนะนำการดูแลสุขภาพ โภชนาการตลอดการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ ข้อควรปฏิบัติระหว่างตั้งครรภ์ รวมทั้งให้ยาบำรุงครรภ์มาทาน ฯลฯ …ขอให้ว่าที่คุณแม่มือใหม่ทุกคนมีความสุขตลอดการตั้งครรภ์นะคะ หรือคุณแม่สามารถคำนวณวัดคลอดง่าย ๆ ด้วยตนเองได้ที่ เครื่องคำนวณวันคลอด

 

จำประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ จะนับอย่างไร

หากจำไม่ได้ว่าประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาวันที่เท่าไหร่ วิธีที่ดีที่สุด คือการอัลตราซาวนด์ เพื่อดูขนาดตัวของทารกและคำนวณว่าอายุประมาณกี่สัปดาห์ วิธีนี้สามารถใช้ได้กับทุกคน ผู้ที่จำประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ หรือ ผู้ที่ประจำเดือนมาไม่ตรงปกติก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เช่นกัน การอัลตราซาวนด์จะช่วยให้ผลของการคำนวณอายุของทารกแม่นยำมากขึ้น ถ้าทำในช่วงไตรมาสแรก โอกาสคลาดเคลื่อนมีเพียง 3 – 5 วันเท่านั้น หากอัลตราซาวนด์ในช่วงหลัง ๆ หรือใกล้คลอดแล้ว ก็จะยิ่งทำให้อายุครรภ์นั้นคลาดเคลื่อนเพิ่มไปอีก ประมาณ 1 – 2 อาทิตย์ ถ้าคุณแม่รีบทำการพบแพทย์เพื่อทำการอัลตราซาวนด์ตั้งแต่เนิ่น ๆ โอกาสในการคลาดเคลื่อนของอายุครรภ์ก็จะน้อยลง

 

การอัลตราซาวนด์บ่งบอกอะไรได้บ้าง

  • คำนวณอายุครรภ์ จากการวัดความกว้างหรือเส้นรอบวงของศีรษะ หรือความยาวของกระดูกต้นขาของทารก เพื่อช่วยคาดคะเนกำหนดคลอดให้แม่นยำมากขึ้น
  • เพื่อประเมินการเจริญเติบโตและขนาดของทารกในครรภ์
  • สงสัยว่ามีการตั้งครรภ์แฝด
  • สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น การแท้งบุตร การตั้งครรภ์นอกมดลูก รกลอกตัวก่อนกำหนด เป็นต้น
  • การดูความผิดปกติของทารกในครรภ์ที่มองเห็นได้
  • การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
  • ดูท่าของทารกตอนใกล้คลอด
  • เพื่อช่วยสูติแพทย์ในการทำหัตถการ เช่น การเจาะถุงน้ำคร่ำ
  • ประเมินความผิดปกติที่อาจเกิดในมดลูกหรือรังไข่ เช่น เนื้องอกมดลูกซึ่งอาจขัดขวางการคลอด

บทความที่เกี่ยวข้อง : 100 สิ่งแม่ท้องต้องรู้ ตอนที่ 45 เตรียมตัวก่อนไปอัลตราซาวนด์

 

แต่ละสัปดาห์อัลตราซาวนด์เพื่อดูอะไรบ้าง

  • 6-8 สัปดาห์

    • ตรวจยืนยันการตั้งครรภ์, จำนวนทารก และดูการเต้นหัวใจ
    • ตรวจภาวะตั้งครรภ์ ว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะท้องนอกมดลูก-ท้องลม หรือไม่
    • ตรวจว่ามีเนื้องอกมดลูก หรือ ถุงน้ำรังไข่ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการตั้งครรภ์ หรือไม่
  • 10-14 สัปดาห์

    • ตรวจหาความพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรงบางอย่าง
    • วัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอ (nuchal translucency) เพื่อช่วยในการตรวจคัดกรองความเสี่ยงกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome)
  • 18-22 สัปดาห์

    • ตรวจความผิดปกติหรือความพิการของทารกอย่างละเอียด (Anomaly Scan)
    • ตรวจการเจริญเติบโต และน้ำหนักตัวของทารก
    • ตรวจตำแหน่งรก สายสะดือ และปริมาณน้ำคร่ำ
  • 28-36 สัปดาห์

    • ตรวจความผิดปกติของทารกอีกครั้งก่อนคลอด
    • ตรวจการเจริญเติบโต และน้ำหนักตัวของทารก
    • ตรวจสุขภาพทารก, การหายใจ และการเคลื่อนไหว
    • ตรวจสุขภาพรก, ปริมาณน้ำคร่ำ, ประเมินภาวะรกเสื่อม
    • ตรวจความเร็วเลือดในสายสะดือและทารก (Dopplerstudy)
    • ตรวจยืนยันท่าของทารกก่อนการคลอด

 

ประโยชน์ของการอัลตราซาวนด์

มีหลัก ๆ 2 เรื่องคือ เพื่อหาความผิดปกติของทารก ความพิการของอวัยวะต่าง ๆ และเพื่อติดตามดูการเจริญเติบโตของทารก โดยเมื่อคุณแม่นอนบนเตียงตรวจแล้ว แพทย์จะใช้น้ำยาทาบริเวณหน้าท้อง แล้วใช้เครื่องมือเคลื่อนไปมาบนหน้าท้อง หากอายุครรภ์ยังน้อย คุณแม่จำเป็นจะต้องกลั้นปัสสาวะเอาไว้ เพื่อให้เห็นตัวอ่อน การอัลตราซาวนด์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ มีเพียงคุณแม่บางคนเท่านั้น ที่แพ้สารตัวกลาง ที่เป็นน้ำยาทาผิวหนังหน้าท้องเท่านั้น

 

อัลตราซาวนด์ ควรทำช่วงไหน?

การอัลตราซาวนด์สามารถทำได้เมื่ออายุครรภ์อยู่ในสัปดาห์ที่ 19 – 24 ของการตั้งครรภ์ ส่วนการอัลตราซาวนด์แบบ 4 มิติ นั้นสามารถทำได้เมื่ออายุครรภ์ 26 – 30 สัปดาห์ การตรวจอัลตราซาวนด์แบบ 4 มิติ จะช่วยให้เห็นรูปร่างของทารกได้ทั้งหมด เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นก็จะเห็นชัดขึ้น หากอัลตราซาวนด์ในช่วง 35 สัปดาห์อาจจะไม่เห็นใบหน้าทารกที่ชัดเจนเท่าไหร่นัก เนื่องจากทารกเริ่มกลับหัว เพื่อรอคลอด

 

นับอายุครรภ์

 

คุณแม่ดูแลตัวเองอย่างไร ขณะตั้งครรภ์

  • นอกจากการเรียนรู้และรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการแล้ว สิ่งแรกที่ควรทำคือฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหม และดื่มน้ำสะอาดต่อวันอย่างน้อย 6 – 8 แก้ว ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงคาเฟอีนด้วย
  • งดสูบบุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ไม่ควรใช้ยารับประทานเอง
  • ทั้งนี้คุณแม่ยังควรดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายเป็นประจำ ระวังการใช้สารเคมี เช่น น้ำยาย้อมผม การใช้เครื่องสำอาง และน้ำหอม
  • อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยในขณะตั้งครรภ์ โดยไม่ควรให้มีแรงกระแทกบริเวณท้องมากเกินไป

 

อาหารที่คุณแม่ควรรับประทานลดลง

  • คาร์โบไฮเดรต

ด้วยการลดอาหารพวกแป้ง ข้าว เผือก มัน และหลีกเลี่ยงอาหารหวาน โดยเฉพาะผลไม้รสหวาน เช่น ทุเรียน รวมถึงน้ำอ้อย น้ำตาลสด น้ำมะพร้าว และน้ำอัดลม เพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้วยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

  • กรดไขมัน (Fatty acid)

เกิดจากการย่อยสลายของไขมันชนิดต่าง ๆ มี 2 ชนิด คือ กรดไขมันอิ่มตัว คุณแม่ควรกินกรดไขมันอิ่มตัวให้น้อยลง เนื่องจากกรดไขมันอิ่มตัว อาจเป็นสาเหตุของไขมันอุดตันในหลอดเลือด กรดไขมันชนิดนี้ สามารถพบได้ในไขมันสัตว์ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว รวมถึงน้ำมันปาล์ม และคุณแม่ก็ควรเลือกดื่มนมที่มีไขมันต่ำ หรือไม่มีไขมัน

 

แม่ท้องควรเฝ้าระวังอะไรบ้าง

  • อาการแพ้ท้อง

โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ อาการแพ้ท้องที่เจอบ่อย ๆ ก็คือ คลื่นไส้ อาเจียน และกินอาหารไม่ได้ ในช่วงไตรมาสแรก หากคุณแม่ไม่พยายามหรือฝืนใจกินอาหาร อาจจะทำให้เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อตัวคุณแม่ และทารกในครรภ์ได้ หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา

  • เลือดออกทางช่องคลอด

ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดมีความเสี่ยงต่อชีวิตของทารกในครรภ์และคุณแม่อย่างมาก ถือเป็นอันตรายที่สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุครรภ์ จึงควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอให้ถึงวันนัด

  • ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง

แม้คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักพบอาการปวดท้องน้อยเป็นปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกมีการขยายตัวเพื่อรองรับตัวอ่อนในครรภ์ แต่หากอาการปวดมากขึ้นจนผิดสังเกต หรือปวดติดต่อกันยาวนาน ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

ตั้งครรภ์ 1-3 สัปดาห์ อาการคนท้อง และพัฒนาการของทารกในครรภ์

อาการคนท้องเดือนแรก มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง คุณอาจจะยังไม่รู้ตัว

อาการคนท้องไตรมาสแรก ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

แชร์ประสบการณ์หรือ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการนับอายุครรภ์ ได้ที่นี่!

นับอายุครรภ์ มีวิธีนับอย่างไรคะ

ที่มา : Phyathai , bangkokhatyai , khonkaenram

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!