อุทาหรณ์! ปู่ย่าพาหลานไปหา "หมอเป่า" สุดท้ายติดเชื้อลุกลาม น่าสงสาร

undefined

"หมอเป่า" ยังคงมีอิทธิพลต่อการดูแลสุขภาพของเด็กในบางครอบครัว ที่ยังมีผู้สูงอายุที่ยังผูกพันกับความเชื่อโบราณ อาจนำไปสู่ผลเสียที่คาดไม่ถึง

“หมอเป่า” ยังคงมีอิทธิพลต่อการดูแลสุขภาพของเด็กในบางครอบครัวที่ยังมีผู้สูงอายุที่ยังผูกพันกับความเชื่อโบราณ ให้ระวังเรื่องการเลี้ยงเด็กตามความเชื่อ อาจนำไปสู่ผลเสียที่คาดไม่ถึง

 

เพจคลินิกหมอผิวหนังหมอสมยุทธ ได้โพสภาพเด็กทารกเป็นแผลติดเชื้อขนาดใหญ่บริเวณลำตัว พร้อมข้อความว่า

#ระวังคุณปู่ย่าตายายพาเด็กไปเป่า

เจออีกแล้ว แผลใหญ่กว่าเคสเดิมอีก

เคสโรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก จะเป็นแผลพุพองลามออกไปเรื่อยๆ  ในเคสนี้รอยโรคใหญ่ผิดปกติ เกิดจากปู่ย่าตายาย คิดว่าเป็นงูสวัดพาไปให้หมอบ้านเป่า แผลเลยลามใหญ่ขึ้น เคยเจอบางเคส พองเหมือนถูกน้ำร้อนลวกหลังจากพาไปเป่ามา

#ระวังผู้เฒ่าพาหลานไปเป่านะครับ

แผลพุพอง  เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่มstreptococcusและstaphylococcus จะเห็นเป็นแผลพุพอง ขอบแผลจะพองมีน้ำ พวกนี้มักเกิดในเด็กต่ำกว่าอายุ10ขวบ มีอาการคัน มักไม่เจ็บ เกาไปตรงไหนก็จะมีแผลขึ้นใหม่ตรงนั้น ติดต่อกันได้โดยการสัมผัส ช่วงหน้าฝนจะเจอบ่อย

การรักษา  ให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่คลุมเชื้อทั้ง2กลุ่ม

#Impetigo


แม้โพสดังกล่าวจะผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังคงใช้ย้ำเตือน คุณพ่อคุณแม่ยุคปัจจุบัน ในการติดอาวุธความรู้ใหม่ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สูงอายุในบ้านพาหลานไปรักษาด้วยความเชื่อผิดๆ อย่างในเคสนี้ที่คุณหมอได้โพสต์เตือนเอาไว้ค่ะ

 

หมอเป่า คือใคร

หมอเป่าเป็นหมอพื้นบ้าน ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์แผนปัจจุบัน แต่เป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพและเชื่อถือ สืบทอดองค์ความรู้การรักษาโรคจากบรรพบุรุษ โดยใช้วิธี “เป่า” เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย โดยความเชื่อในการรักษาด้วยการเป่านี้ มักเกี่ยวข้องกับโรคผิวหนังต่างๆ เช่น แผลที่เกิดจากสัตว์กัด แผลจากไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก อาการเริมและงูสวัด

นอกจากนี้ในบางความเชื่อที่ต่อยอดออกไป ยังมีการกล่าวถึงสรรพคุณในการรักษาแผลเรื้อรังมะเร็งผิวหนัง รวมถึงเชื่อว่าสามารถเป่าให้กระดูกที่หักเชื่อมติดกันได้

 

วิธีการรักษาของ หมอเป่า

หมอเป่าจะทำการรักษาโดยการเป่าบริเวณที่เป็นโรค พร้อมกับการบริกรรมคาถาหรือบทสวดนอกจากนี้ ยังมีวิธีการที่หมอเป่าจะ อมน้ำมนต์หรือเหล้าขาว พร้อมกับท่องคาถา แล้วจึง พ่น ไปยังผิวหนังบริเวณที่เป็นโรคด้วย

 

ทำไมถึงเชื่อว่าเป่าแล้วจะหาย?

ความเชื่อว่าการเป่าสามารถปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บได้นั้น มาจากหลายปัจจัย

  • ความเชื่อทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ

ในหลายสังคมดั้งเดิม มีความเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บอาจเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น วิญญาณร้าย หรือการกระทำของไสยศาสตร์ การเป่าจึงถูกมองว่าเป็นการขับไล่สิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นออกไป หรือเป็นการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้หายป่วย

  • ประสบการณ์ส่วนตัวและการบอกเล่า

บางครั้งอาจมีกรณีที่อาการป่วยดีขึ้นหลังจากได้รับการเป่า ซึ่งอาจเป็นผลจากธรรมชาติของโรคที่หายเองได้ หรือผลทางจิตใจ เมื่อมีคนหายป่วยจากการเป่า ก็จะเกิดการบอกเล่าสืบต่อกันไป ทำให้ความเชื่อนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

  • ความใกล้ชิดและความเข้าถึงง่าย

หมอเป่ามักจะเป็นบุคคลที่อยู่ในชุมชน เป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้ง่ายกว่าแพทย์แผนปัจจุบันในสมัยก่อน (และอาจจะยังเป็นอยู่สำหรับบางพื้นที่) ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและไว้วางใจที่จะไปรับการรักษา

  • ความรู้สึกทางใจและความหวัง

เมื่อเกิดความเจ็บป่วย คนเรามักจะมองหาความหวัง การไปหาหมอเป่าอาจทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวรู้สึกว่าได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อรักษาแล้ว แม้ว่าทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ไม่ได้ก็ตาม

  • อิทธิพลของผู้สูงอายุ

ในสังคมไทย ผู้สูงอายุมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของคนในครอบครัว ความเชื่อของผู้สูงอายุจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเลือกวิธีการรักษา

ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการ “เป่า” เพื่อรักษาโรค

ในช่องปากของมนุษย์มีจุลินทรีย์หลากหลายชนิด ซึ่งมีจำนวนมหาศาลถึงประมาณ 1 พันล้านตัวต่อมิลลิลิตร เมื่อหมอเป่าอมน้ำมนต์หรือเหล้าขาวระหว่างบริกรรมคาถาและพ่นลงบนผิวหนังที่เป็นแผลของผู้ป่วย จึงเป็นการนำเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้ไปสัมผัสกับบาดแผลโดยตรง

แม้ว่าบางคนอาจเข้าใจว่าแอลกอฮอล์ในเหล้าขาวจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์ล้างแผล แต่ความเป็นจริงคือ แอลกอฮอล์ล้างแผลที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคส่วนใหญ่ มักมีความเข้มข้นถึง 70% ซึ่งสูงกว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเหล้าขาวทั่วไป

ดังนั้น การเป่านอกเหนือจากสิ่งที่มองไม่เห็นอื่นๆ แล้ว ยังอาจนำพา เชื้อโรคจากช่องปากของผู้เป่า ไปสู่บาดแผลของผู้ป่วยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

นอกจากนี้ การพาเด็กที่เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียไปรับการรักษาวิธีที่ไม่ถูกต้อง เช่น การเป่าอาจทำให้

  • การรักษาล่าช้า ทำให้เชื้อแบคทีเรียลุกลามมากขึ้น รอยโรคใหญ่ขึ้น และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
  • การแพร่กระจายของเชื้อ การสัมผัสและการดูแลที่ไม่ถูกสุขลักษณะอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังผู้อื่นในครอบครัวหรือชุมชน
  • ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อน การเป่าอาจไม่ได้ช่วยทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆ เพิ่มเติม

 

โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็กเคส หมอเป่า

ขอบคุณภาพจาก คลินิกผิวหนังหมอสมยุทธ

รู้จัก โรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก

แผลติดเชื้อแบคทีเรีย (Impetigo) คือภาวะติดเชื้อแบคทีเรียในชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ หรืออาจเกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน

แม้เพียงรอยขีดข่วนหรือรอยถลอกเล็กน้อยบนผิวหนัง ก็สามารถเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

โดยเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิด Impetigo คือ Streptococcus group A หรือ Staphylococcus aureus หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อร่วมกันของแบคทีเรียทั้งสองกลุ่มนี้

วิธีสังเกต ลักษณะแผลติดเชื้อแบคทีเรีย

โรคนี้มักพบได้บ่อยในเด็ก และสามารถติดต่อกันได้ง่าย

ระยะเริ่มต้น จะปรากฏเป็นตุ่มหนองขนาดเล็กและตื้น กระจายอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณใบหน้า แขน และขา ต่อมาตุ่มหนองเหล่านี้จะแตกออก กลายเป็นรอยถลอกตื้นๆ ที่มีสะเก็ดสีเหลืองคล้ายน้ำผึ้งปกคลุมอยู่บนผิว

รอยโรคเดิมอาจรวมกันเป็นผื่นขนาดใหญ่และขยายวงกว้างออกไปได้ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดการ แพร่กระจายเชื้อไปยังบริเวณใกล้เคียงด้วยตัวเอง ทำให้เกิดรอยโรคใหม่ๆ กระจายออกไปต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่เป็นโรคอาจมีขนาดโตขึ้นได้ 

 

การรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียในเด็ก

ควรให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาบาดแผลตามหลักการทางการแพทย์ โดยพาเด็กไปโรงพยาบาล เพื่อทำความสะอาดแผลด้วยอุปกรณ์ที่สะอาด และเข้ารับการตรวจวินิจฉัย รวมถึงการรักษาเพิ่มเติมจากแพทย์แผนปัจจุบัน

  • การทำความสะอาดแผล: ล้างแผลด้วยน้ำยา Burow’s solution หรือน้ำเกลือ (normal saline) วันละ 2-3 ครั้ง จนแผลแห้งสนิท
  • กรณีอาการไม่รุนแรง: แพทย์จะพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาเฉพาะที่ ทาบริเวณที่เป็นแผลวันละ 2-3 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการรับประทานยา
  • กรณีอาการรุนแรง: จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจมาจากระบบทางเดินหายใจ 

 

อย่างไรก็ตาม หากปู่ย่ายังต้องการจะพาหลานไปเป่า และคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถปฏิเสธได้ อาจเสนอทางเลือกที่พบกันครึ่งทาง โดยอาจให้หมอเป่าทำพิธีเป่าด้วยคาถาเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องพ่นน้ำมนต์ หรือเหล้าขาวลงบนแผล เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของผู้ป่วย จากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็พาลูกไปรักษาต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันค่ะ

ที่มา : คลินิกผิวหนังหมอสมยุทธthemomentum , ราชเทวีคลินิก

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ป้าข้างบ้าน บอกให้ “ดัดขาลูก” ตอบป้าอย่างไร ให้หยุดความเชื่อผิดๆ

สมองแม่ ฝ่อลง เมื่อมีลูก จริงไหม? ตั้งแต่เป็นแม่ ทำไมชอบขี้ลืม?

เปิดตำนานแม่ซื้อ 4 ภาค แม่ซื้อมีจริงไหม ลูกหลับแล้วยิ้ม คือเล่นกับแม่ซื้อ?

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!