ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูกที่แม่ต้องรู้!

ยาลดน้ำมูกอันตรายต่อเด็กเล็กอย่างไร ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก มาหาคำตอบไปด้วยกัน พร้อมวิธีดูแลเมื่อลูกมีน้ำมูก โดยไม่ต้องใช้ยา
แม่มือใหม่ต้องรู้ หากลูกน้อย (อายุต่ำกว่า 2 ปี) เป็นหวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล ไม่ควรให้ลูกกินยาลดน้ำมูก ยาลดน้ำมูกอันตรายต่อเด็กเล็กอย่างไร ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก มาหาคำตอบไปด้วยกัน พร้อมวิธีดูแลเมื่อลูกมีน้ำมูก โดยไม่ต้องใช้ยา
อาการน้ำมูกไหลในเด็กเล็กเป็นเรื่องปกติที่พบบ่อย ทำให้พ่อแม่กังวลและมองหาวิธีบรรเทาอาการ ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่ายาลดน้ำมูกเป็นทางออกที่ปลอดภัยและรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วยาลดน้ำมูกมีผลข้างเคียง ที่เป็นอันตรายต่อเด็กเล็ก จึงไม่ควรซื้อยาลดน้ำมูกให้ลูกกินเอง
กลไกการออกฤทธิ์และข้อควรระวังในเด็กเล็ก
ยาลดน้ำมูก และยาแก้แพ้ ออกฤทธิ์อย่างไร และทำไมเราถึงต้องระวังเป็นพิเศษในเด็กเล็ก
-
ยาแก้แพ้ (Antihistamine) เช่น คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)
ออกฤทธิ์ไปยับยั้งสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น คัน จาม น้ำมูกไหล
ผลข้างเคียงที่ระวังคือ
- อาจทำให้ง่วงซึม หายใจลำบาก หรือกดการหายใจในเด็กเล็กได้
- ยาจะไปทำให้น้ำมูกแห้ง น้ำมูกจึงข้นเหนียวขึ้น ทำให้เสมหะขับออกยากและอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ
-
ยาลดน้ำมูก (Decongestant) เช่น ซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedrine)
ออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดในจมูกหดตัว ลดอาการบวม ทำให้หายใจโล่งขึ้น
ผลข้างเคียงที่ระวังคือ อาจทำให้ลูกหัวใจเต้นเร็ว กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ หรือรุนแรงถึงขั้นชักได้
ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก
ผลข้างเคียงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบหายใจของเด็กจากการใช้ยาลดน้ำมูก ได้แก่
- น้ำมูกและเสมหะข้นเหนียวขึ้น: ยาแก้แพ้ มีฤทธิ์ทำให้เสมหะและน้ำมูกที่ปกติจะใสหรือเหลวมีความข้นเหนียวมากขึ้น ทำให้ยากต่อการขับออก ร่างกายเด็กเล็กมีท่อทางเดินหายใจที่เล็กอยู่แล้ว เมื่อน้ำมูกและเสมหะข้นเหนียวจะยิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น
- การอุดกั้นทางเดินหายใจ: น้ำมูกและเสมหะที่ข้นเหนียวและค้างอยู่ในหลอดลมและปอด อาจทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจเล็กๆ ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหายใจลำบาก หอบ หรือแม้กระทั่งการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนจนกลายเป็นปอดบวมได้ง่ายขึ้น
- กดการหายใจ: ยาแก้แพ้บางชนิดมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงซึมอย่างรุนแรง และอาจกดศูนย์ควบคุมการหายใจในสมอง ทำให้การหายใจช้าลงและตื้นขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารก อาจนำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้
- อาการหอบแย่ลง: ในเด็กที่มีภาวะหลอดลมไว หรือมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืด การที่เสมหะข้นเหนียวและมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ อาจกระตุ้นให้อาการหอบกำเริบหรือรุนแรงขึ้นได้
- ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่กระทบทางอ้อมต่อระบบหายใจ: เช่น การกระตุ้นประสาทส่วนกลางในยาลดน้ำมูก ทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หรืออาจชักได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวมและอาจทำให้ระบบหายใจทำงานผิดปกติได้
หน่วยงานทางการแพทย์ไม่แนะนำ
ทั้งองค์การอาหารและยา (อย.) และกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้หวัดหรือยาลดน้ำมูกในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เพราะประโยชน์ที่ได้น้อยกว่าความเสี่ยงที่ลูกจะได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
จะมีวิธีดูแลเมื่อลูกมีน้ำมูกอย่างไร ถ้าไม่ใช้ยา?
การดูแลเด็กเล็กที่มีน้ำมูกโดยไม่ใช้ยา มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและช่วยให้ร่างกายขับน้ำมูกออกไปได้ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด ดังนี้
วิธีดูแลเมื่อลูกมีน้ำมูก | |
ดูดน้ำมูก หรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ |
|
เพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ |
|
ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ | จะช่วยให้น้ำมูกและเสมหะไม่ข้นเหนียวจนเกินไป ทำให้ขับออกได้ง่ายขึ้น หากเป็นทารก ควรให้นมแม่หรือนมผสมตามปกติ |
จัดท่าให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย | หรืออุ้มลูกน้อยในท่ายกศีรษะสูง เพื่อช่วยให้น้ำมูกไหลลงคอได้สะดวกขึ้น ลดอาการคัดจมูก |
เช็ดทำความสะอาดจมูกอย่างอ่อนโยน | ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมาอย่างเบามือ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการอักเสบของผิวหนังบริเวณจมูก |
พักผ่อนให้เพียงพอ | เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ |
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
หากลูกมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบกุมารแพทย์ทันที
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงดังผิดปกติ
- ไข้สูง ไม่ลดลง หรือมีไข้นานเกิน 2-3 วัน
- ซึมลง ไม่ร่าเริง กินได้น้อยลง
- มีอาการเจ็บปวดอื่นร่วมด้วย เช่น เจ็บหู ไอมาก อาเจียน ท้องเสีย
- สีน้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวข้นและมีไข้ต่อเนื่อง
- อาการไม่ดีขึ้นหรือไม่ตอบสนองต่อการดูแลเบื้องต้นภายใน 2-3 วัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือนมีไข้หรืออาการหวัด
ทำไมไม่ควรให้เด็กเล็กกินยาลดน้ำมูก ก็เพราะยาลดน้ำมูกนั้นไม่จำเป็นและอาจเป็นอันตรายสำหรับเด็กเล็กค่ะ เพื่อความปลอดภัยของลูกรัก การดูแลเบื้องต้นที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด เมื่อลูกมีน้ำมูก ลองใช้วิธีที่ช่วยระบายน้ำมูกให้ลูกหายใจสะดวกขึ้น เช่น การใช้ลูกยางดูดน้ำมูกอย่างอ่อนโยน หรือ ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อให้น้ำมูกที่ข้นเหนียวอ่อนตัวและขับออกได้ง่ายขึ้น ไม่ควรซื้อยาลดน้ำมูกให้ลูกกินเองเด็ดขาด ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ที่มา : คลังข้อมูลยา
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ลูกไข้ขึ้นตอนกลางคืน กลางวันไข้ไม่มี ทำไมกลางคืนกลับตัวร้อนจี๋อีกแล้ว?
หมอห่วง เด็ก 0-4 ขวบป่วยโควิดเยอะ ป่วยช่วงนี้ เสี่ยงโควิดสูงกว่าไข้หวัดใหญ่