แม่รู้ไหม ลูกไอเวลานอน มีโรคอะไรแฝงอยู่?

อาการไอเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอม แต่การที่ ลูกไอเวลานอน และอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่
อาการไอเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอม แต่การไอเรื้อรัง โดยเฉพาะเวลานอน ลูกไอเวลานอน มักสร้างความกังวลให้พ่อแม่ และอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่
ลูกไอเวลานอน สัญญาณจากร่างกายที่พ่อแม่ควรรู้
อาการไอเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่การสังเกตลักษณะการไออย่างละเอียดจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายลูกได้มากขึ้นค่ะ
“ไอ” คืออะไร?
การไอเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย เพื่อพยายาม ขับสิ่งแปลกปลอมหรือสารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ, น้ำมูก ที่มารบกวนระบบทางเดินหายใจออกไป เปรียบเสมือนการ “ไอจาม” ของระบบทางเดินหายใจนั่นเองค่ะ
ชนิดของการไอที่พ่อแม่ควรรู้จัก
- ไอแห้ง: มักมีเสียง “แค็กๆ” หรือ “ครืดคราด” เบาๆ ไม่มีเสมหะ สาเหตุหลักคือการระคายเคืองในลำคอ เช่น คอแห้ง แพ้อากาศ หรืออาการเริ่มต้นของไข้หวัด
- ไอมีเสมหะ : มีเสียง “ครอกๆ” “ครืดคราด” ชัดเจน มักมีเสมหะตามมาหลังไอ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีน้ำมูกไหลลงคอ หรือมีการสะสมของเสมหะในทางเดินหายใจ
- ไอแบบมีเสียงผิดปกติ: ไอประเภทนี้มักเป็นสัญญาณของโรคบางชนิดที่ต้องระวัง เช่น
- ไอโขลกๆ (Croup): เสียงไอจะแหบๆ เหมือนหมาเห่า มักได้ยินชัดเวลากลางคืน เกิดจากการอักเสบบวมของหลอดลมส่วนบน
- ไอแบบหอบ (Wheezing): ไอมีเสียงวี้ดๆ หรือเสียงหวีดขณะหายใจ มักบ่งบอกว่าหลอดลมตีบแคบ อาจเป็นสัญญาณของโรคหอบหืด
ทำไมลูกจึงไอเวลานอนมากกว่าปกติ?
คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตว่า ลูกมักไอหนักขึ้นเมื่อถึงเวลากลางคืนหรือตอนนอนหลับ ลูกไอเวลานอน มีหลายปัจจัยที่ส่งผลค่ะ
- ท่านอนและการไหลของเสมหะ: เมื่อลูกนอนราบ น้ำมูกหรือเสมหะที่ค้างอยู่ในโพรงจมูกและคอ จะไหลลงไปรวมกันในลำคอได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดการระคายเคืองและกระตุ้นให้ไอเพื่อขับออก
- สภาพแวดล้อมในห้องนอน: ไรฝุ่น สะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่อุณหภูมิห้องที่เย็นเกินไป อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการไอ โดยเฉพาะในเด็กที่มีภูมิแพ้หรือหลอดลมไว
- ระบบประสาททำงานแตกต่างกัน: ในเวลากลางคืน ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน จะทำงานเด่นขึ้น บางครั้งอาจส่งผลให้หลอดลมหดตัวได้ง่ายขึ้นในเด็กบางราย ทำให้ไอได้บ่อยกว่ากลางวัน
ความสำคัญของการสังเกตอาการ ลูกไอเวลานอน
ลูกไอเวลานอน มักเป็นสัญญาณที่สำคัญ เพราะอาการไอที่เกิดขึ้นในท่านอนหรือตอนกลางคืนอาจ บ่งบอกถึงภาวะที่แย่ลง หรือเป็น ลักษณะเฉพาะของบางโรค ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ การสังเกตเสียงไอ ลักษณะการไอ และอาการร่วมอื่นๆ อย่างละเอียด จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าเมื่อไหร่ควรพาลูกไปพบคุณหมอค่ะ
โรคที่พบบ่อยที่ทำให้ลูกไอเวลานอน
การไอเวลานอนของลูกอาจเป็นสัญญาณจากโรคล่างๆ ที่คุณหมอพบบ่อย นี่คือโรคที่ควรสังเกต พร้อมอาการที่มักมาคู่กัน
- โรคหวัดและภูมิแพ้อากาศ ลูกมักไอมากเมื่อนอนราบเพราะน้ำมูกหรือเสมหะไหลลงคอ ร่วมกับอาการคัดจมูก, น้ำมูกไหล, จาม หรือคันตา/จมูก หากเป็นหวัดอาจมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการไอจะชัดเจนขึ้นตอนกลางคืนและหลังตื่นนอนตอนเช้า
- โรคหอบหืดในเด็ก อาการไอแห้งๆ เป็นพักๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือเช้ามืด รวมถึงไอเมื่อออกกำลังกายหรือหัวเราะ มักมีเสียงวี้ดร่วมด้วย อาจมีหายใจหอบเหนื่อยหรือแน่นหน้าอก หลอดลมของลูกจะตีบแคบลงโดยเฉพาะเวลานอนหรือเมื่อสัมผัสสิ่งกระตุ้น
- โรคกรดไหลย้อนในเด็ก ลูกจะไอหลังกินนมหรืออาหาร หรือไอมากเมื่อนอนราบ เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา ทำให้ระคายเคืองคอ อาการร่วมอื่นๆ อาจมีแหวะนมบ่อยในทารก, ปวดท้อง, อกไหม้, เสียงแหบ หรือน้ำหนักไม่ขึ้น
- หลอดลมอักเสบ/ปอดบวม เป็นการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้ไอมากขึ้นเรื่อยๆ และมีเสมหะข้นร่วมกับอาการรุนแรงขึ้น เช่น ไข้สูง, หายใจเร็ว, หอบ, ซึม หรือเบื่ออาหาร หากอาการแย่ลงจากหวัดทั่วไป ควรระวังภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้
- ไอกรน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ลูกไอเป็นชุดๆ ติดต่อกันยาวนานจนหน้าแดง ตัวเขียว หายใจลำบาก และอาจมีเสียงวู๊ปขณะหายใจเข้าอย่างแรงหลังไอ แม้ไม่มีไข้แล้วก็อาจไอต่อเนื่องได้นานหลายสัปดาห์
- การติดเชื้อไวรัสบางชนิด การติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจหลายชนิดทำให้ไอ โดยเฉพาะตอนกลางคืน อาการร่วมมักมีไข้, น้ำมูก, เจ็บคอ และบางครั้งอาจมีผื่น แม้ไข้จะลดลงแล้ว อาการไอก็ยังคงอยู่ได้ค่อนข้างนาน
- สิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ ลูกจะไออย่างกะทันหันและรุนแรง ร่วมกับหายใจลำบาก สำลัก หรือหน้าเขียว มักเกิดขึ้นเฉียบพลันขณะลูกกำลังเล่นหรือกินของชิ้นเล็กๆ เข้าไปในหลอดลม ทำให้เกิดการอุดกั้นและระคายเคือง
ลูกไอเวลานอน เมื่อไหร่ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์ทันที?
- ไอพร้อมมีไข้สูง หายใจหอบเหนื่อย หรือหายใจลำบาก (หน้าอกบุ๋ม, ปีกจมูกบาน)
- ไอเสียงดังผิดปกติ (เช่น ไอโขลกๆ เหมือนหมาเห่า, ไอเสียงวี้ด)
- ไอจนหน้าเขียว ตัวเขียว หรืออาเจียน
- ลูกดูซึมลง ไม่เล่น ไม่อยากอาหาร
- อาการไอไม่ดีขึ้น หรือแย่ลงภายใน 1-2 วัน แม้ดูแลเบื้องต้นแล้ว
- ลูกมีประวัติแพ้ หรือมีคนในครอบครัวเป็นหอบหืด
วิธีบรรเทาอาการไอของลูกน้อย
คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการไอของลูกเวลานอนได้เบื้องต้น ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
-
จัดการเสมหะและน้ำมูก
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ: ช่วยชะล้างน้ำมูกและเสมหะที่ค้างอยู่ ทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
- เช็ดน้ำมูกบ่อยๆ: ป้องกันน้ำมูกไหลย้อนลงคอ
- ให้ลูกดื่มน้ำอุ่น/น้ำเปล่ามากๆ: ช่วยให้เสมหะอ่อนตัวลง ขับออกได้ง่ายขึ้น
-
จัดท่าทางให้เหมาะสม
- หนุนศีรษะลูกให้สูงขึ้นเล็กน้อยเวลานอน: ใช้หมอนรองใต้ที่นอน หรือหมอนที่เหมาะกับวัยของลูก เพื่อให้น้ำมูก/เสมหะไม่ไหลลงคอมากเกินไป
- จับลูกเรอหลังกินนม: สำคัญมากในทารก เพื่อลดการแหวะนมและกรดไหลย้อน
-
ควบคุมสภาพแวดล้อมในห้องนอน
- ทำความสะอาดห้องนอนอย่างสม่ำเสมอ: กำจัดไรฝุ่น ควันบุหรี่ หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ ที่อาจทำให้ลูกไอ
- ใช้เครื่องฟอกอากาศ: ช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
- ควบคุมอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม: ไม่ควรเย็นหรือร้อนจนเกินไป เพราะอากาศที่เย็นหรือแห้งเกินไปอาจทำให้ลูกไอมากขึ้น
-
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- พยายามให้ลูกอยู่ห่างจาก ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง หรือสัตว์เลี้ยง หากลูกมีประวัติแพ้สิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นตัวกระตุ้นให้ไอได้ง่าย
- พยายามให้ลูกอยู่ห่างจาก ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง หรือสัตว์เลี้ยง หากลูกมีประวัติแพ้สิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นตัวกระตุ้นให้ไอได้ง่าย
-
การใช้ยาบรรเทาอาการ (ข้อควรระวัง)
- ยาแก้ไอหรือยาลดน้ำมูกบางชนิดสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ควรปรึกษากุมารแพทย์หรือเภสัชกรเสมอก่อนให้ยาแก่ลูก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เพราะยาบางประเภทอาจไม่เหมาะสม หรือมีผลข้างเคียงได้
การดูแลเบื้องต้นเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้นและนอนหลับได้ดีขึ้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการน่ากังวลอื่นๆ ร่วมด้วย อย่าลืมรีบพาลูกไปพบคุณหมอนะคะ
ที่มา : WebMD , Cheers ChildCare