วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้ โดยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ฉบับอัพเดทล่าสุด!

undefined

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ อัปเดตคำแนะนำล่าสุด “วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้ แบบถูกต้อง” เน้นความสุขสบายของลูก มากกว่าการทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงทันที

Advertisement

เมื่อ “ลูกมีไข้” คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่จะวิตกกังวล และพยายามทำทุกทางให้ไข้ลดลงโดยเร็ว แต่ในความเป็นจริง ไข้ไม่ใช่ศัตรูของลูกเสมอไป และไม่จำเป็นต้องรีบทำให้ตัวเย็นลงตลอดเวลาค่ะ ล่าสุด ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้อัปเดตคำแนะนำการดูแลเด็กที่มีไข้ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจ “วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้ แบบถูกต้อง” โดยเน้นความสุขสบายของลูก มากกว่าการทำให้อุณหภูมิร่างกายกลับเป็นปกติทันที ดังนี้

อัพเดทล่าสุด! คำแนะนำ วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้ แบบถูกต้อง

คำแนะนำการดูแลผู้ป่วยเด็กที่มีไข้ โดยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย วันที่ 26 กรกฎาคม 2568

ไข้ในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมักทำให้ผู้ปกครองเกิดความวิตกกังวล ไข้เกิดจากหลายสาเหตุ การวินิจฉัยและ รักษาโรคที่เป็นสาเหตุของไข้เป็นสิ่งที่แพทย์ต้องคำนึงอยู่เสมอ ในคำแนะนำนี้จะเน้นที่การดูแลอาการไข้ในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเช็ดตัวเพื่อลดไข้ซึ่งในปัจจุบันมีความเห็นที่หลากหลายและการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยได้พิจารณาข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ จึงได้จัดทำแนวทางการดูแลอาการไข้ในเด็กสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้

1. คำจำกัดความของอาการไข้

หมายถึง การมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ ถือว่ามีไข้เมื่ออุณหภูมิวัดทางหูหรือหน้าผาก ≥ 38 °C หรือวัดทางปาก ≥ 37.8 °C หรือวัดทางรักแร้ ≥ 37.2-37.5 °C

 

2. วัตถุประสงค์ของการดูแลอาการไข้

เพื่อให้เด็กมีความสุขสบาย (comfort) เป็นหลัก จึงไม่จำเป็นต้องทำให้ไข้ลงหรือทำให้อุณหภูมิร่างกายกลับเป็นปกติเสมอไปหากเด็กสุขสบายดี ส่วนการลดไข้เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันการชักนั้นยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนชัดเจน การตัดสินใจเลือกวิธีการลดไข้ ควรพิจารณาร่วมกับอาการร่วมอื่น ๆ และภาวะทั่วไปของเด็ก

 

3. ทางเลือกในการลดไข้

3.1 ยาลดไข้ ยาที่แนะนำ ได้แก่ พาราเซตามอล ให้ขนาดยาที่แนะนำตามน้ำหนักตัวเด็ก หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม non-steroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ในผู้ป่วยที่สงสัยโรคไข้เลือดออกหรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ โรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

3.2 การเช็ดตัว (tepid sponging)

การเช็ดตัวเป็นวิธีที่ผู้ปกครองและบุคลากรทางการแพทย์นิยมใช้ในการลดไข้ในเด็กมายาวนาน แต่องค์กรวิชาชีพในประเทศตะวันตกไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เพื่อลดไข้เป็นประจำ เนื่องจากหลักฐานแสดงถึงประสิทธิภาพในการลดไข้ยังไม่ชัดเจนและอาจทำให้เด็กหนาวสั่น ตกใจกลัว อีกทั้งการศึกษาพบว่าการเช็ดตัวมีประสิทธิภาพในการลดไข้ด้อยกว่ายาพาราเซตามอล

รายงานการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบล่าสุด ซึ่งรวบรวมการศึกษาแบบสุ่มเปรียบเทียบผลของการเช็ดตัว ร่วมกับการให้ยาพาราเซตามอล กับการให้ยาพาราเซตามอลเพียงอย่างเดียว พบว่าการเช็ดตัวร่วมกับการให้ยาพาราเซตามอล ช่วยลดไข้ได้เร็วกว่าการให้ยาพาราเซตามอลเพียงอย่างเดียวในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรก แต่ระดับไข้ไม่แตกต่างกันหลังจาก 2 ชั่วโมง การศึกษาแบบสุ่มในเด็กไทยให้ผลสอดคล้องกับผลสรุปดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การทบทวนวรรณกรรมฉบับนี้พบว่ามีบางการศึกษาไม่พบความแตกต่างของผลการลดไข้ระหว่าง 2 กลุ่ม

ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนว่าต้องเช็ดตัวเด็กทุกครั้งที่มีไข้ การเช็ดตัวจึงไม่ใช่สิ่งที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำเมื่อมีไข้ แต่เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถพิจารณาใช้ร่วมกับยาลดไข้ ซึ่งอาจจะช่วยให้ไข้ลงเร็วขึ้นและสบายตัวขึ้นในช่วงแรก โดยเฉพาะในเด็กที่มีไข้สูงและแสดงอาการไม่สบายตัวจากไข้ หรือใช้เป็นการดูแลเบื้องต้นในขณะที่ไม่มียาลดไข้หรือการรักษาอื่น

การเช็ดตัวที่ถูกต้อง ใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำอุ่น เช็ดอย่างเบามือบริเวณที่เลือดไหลเวียนดี เช่น รักแร้ซอกคอ ขาหนีบ และควรสังเกตอาการของเด็กและการตอบสนองต่อการเช็ดตัว หากเด็กมีอาการหนาวสั่น หรือร้องมากไม่สุขสบายขณะเช็ดตัว ให้หยุดเช็ดตัว

ห้ามเช็ดถูตัวแรง ๆ เพราะจะทำให้เด็กตกใจกลัวและเพิ่มความไม่สุขสบาย และห้ามเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นจัด น้ำแข็ง หรือแอลกอฮอล์ เนื่องจากอาจทำให้หนาวสั่น ร่างกายจะยิ่งสร้างความร้อนเพิ่ม และไม่สบายตัว หรือได้รับ อันตรายจากการดูดซึมแอลกอฮอล์

 

4. การสื่อสารและให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครอง

บุคลากรทางการแพทย์ควรให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับธรรมชาติของไข้ในเด็กและการดูแลเบื้องต้น เพื่อลดความกังวล ประเด็นหลัก ๆ ได้แก่

  • ไข้ เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่อการติดเชื้อ (เช่น ไวรัส, แบคทีเรีย) หรือสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การติดเชื้อ การมีไข้ไม่ได้มีอันตรายหากเด็กยังสบายดี เล่นได้ กินได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเตือนดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของไข้และรับการรักษาที่เหมาะสม
    • เด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน
    • มีอาการซึม ซัก ไม่ดื่มนมหรือน้ำ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
    • มีผื่น หรือจุดเลือดออก ปลายมือปลายเท้าเย็น ซีด หรืออาการคล้ายช็อก
    • ไข้ไม่ลดลงภายใน 2-3 วัน หรือมีไข้กลับมาภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ให้คำแนะนำวิธีดูแลเบื้องต้นที่บ้านอย่างเหมาะสม เช่น การให้ยาลดไข้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และอยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด
  • สนับสนุนให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการดูแล โดยไม่สร้างความวิตกกังวลเกินควร
  • อธิบายว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าการให้ยาลดไข้หรือการเช็ดตัวสามารถป้องกันการชักจากไข้สูงได้ แต่อาจช่วยบรรเทาความไม่สุขสบายจากไข้

อนึ่ง คำแนะนำนี้จัดทำขึ้นจากข้อมูลและหลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการตัดสินใจดูแลเด็กที่มีไข้ ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมตามบริบทของแต่ละสถานพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัย

วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้

วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้

วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้

จากแนวทาง วิธีดูแลลูกเมื่อมีไข้ ข้างต้น คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบแล้วนะคะว่า ไข้ในเด็กไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป เพราะเป็น ปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกายเวลาต่อสู้เชื้อโรค สิ่งสำคัญคือดูว่าลูก ยังสบายตัวไหม กินได้ เล่นได้ไหม และทำตามคำแนะนำจากกุมารแพทย์ล่าสุด โดยใช้ยา “พาราเซตามอล” อย่างถูกวิธี การเช็ดตัว “เป็นแค่ตัวช่วย” ไม่ต้องทำทุกครั้ง นอกจากนี้ควรสังเกตสัญญาณอันตราย และพาไปลูกหาหมอทันทีเมื่อจำเป็นค่ะ

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกเป็นไข้ ควรเช็ดตัวไหม? หมอสรุป Belief vs Fact จากงานวิจัยทั่วโลก

ลูกเป็นไข้ อาบน้ำได้ไหม วิธีไหนลดไข้เร็วที่สุด

น้ำอุ่นผสมมะนาว หรือน้ำต้มใบมะขามหัวหอม แบบไหนลดไข้ ไล่หวัดลูกได้ดีกว่ากัน

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!