6 ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ก่อนเริ่มสอนตัวอักษรและตัวเลข

undefined

อย่าเพิ่งเร่งให้ลูกอ่านออกเขียนได้ ถ้าพื้นฐานยังไม่มั่นคง เช็ก! 6 ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ก่อนเริ่มสอนตัวอักษรและตัวเลข

ท่ามกลางกระแสการแข่งขันทางการศึกษาที่เด็กยุคนี้ต้องเผชิญ ทำให้พ่อแม่จำเป็นต้องเร่งให้ลูกอ่านออกเขียนได้โดยเร็ว แต่รู้หรือไม่ว่า การเร่งรัดพัฒนาการทางวิชาการก่อนที่พื้นฐานสำคัญจะมั่นคง อาจเหมือนการสร้างบ้านบนดินทราย บทความนี้จะพาไปสำรวจ 6 ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ก่อนก้าวเข้าสู่โลกแห่งตัวอักษรและตัวเลข เพื่อให้การเรียนรู้ในอนาคตเป็นไปอย่างราบรื่นและเต็มศักยภาพ

 

6 ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ก่อนเริ่มสอนตัวอักษรและตัวเลข

1. ทักษะการควบคุมมือและนิ้ว (Fine Motor Control): พื้นฐานสู่การเขียนที่มั่นคง

ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณมือและนิ้วได้อย่างแม่นยำและประสานสัมพันธ์กัน มีความสำคัญต่อการพัฒนาการเขียน เพราะการเขียนต้องอาศัยความแข็งแรงและความคล่องแคล่วของกล้ามเนื้อนิ้วมือในการจับดินสอ ควบคุมทิศทางการลากเส้น และลงน้ำหนักอย่างเหมาะสม

นอกจากทักษะการเขียนแล้ว กล้ามเนื้อมัดเล็กยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเด็กอีกมากมาย เช่น

  • การแต่งกาย: ติดกระดุม, รูดซิป, ผูกเชือกรองเท้า
  • การรับประทานอาหาร: ใช้ช้อน ส้อม ตักอาหาร
  • การดูแลตัวเอง: แปรงฟัน, หวีผม
  • การเล่น: ต่อเลโก้, วาดรูป, ระบายสี, ตัดกระดาษ, ติดสติกเกอร์
  • การทำกิจกรรมศิลปะและประดิษฐ์: ปั้นดินน้ำมัน, ร้อยลูกปัด, พับกระดาษ

หากเด็กมีกล้ามเนื้อมัดเล็กที่แข็งแรงและคล่องแคล่ว จะช่วยให้เขาสามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างอิสระ มั่นใจ และมีความสุข ซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ ทั้งร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

ตัวอย่างกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก 

การส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก สามารถทำได้อย่างสนุกสนานและเป็นธรรมชาติ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันโดยไม่ต้องเน้นการฝึกเขียนโดยตรง ตัวอย่างกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่

ตัวอย่างกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
การหยิบจับของชิ้นเล็ก ให้ลูกช่วยหยิบถั่ว ลูกปัด กระดุม หรือของเล่นชิ้นเล็กๆ ใส่ภาชนะ เป็นการฝึกการใช้นิ้วมือหยิบจับและควบคุม
การปั้น การปั้นดินน้ำมัน แป้งโดว์ หรือขี้ผึ้ง ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือและนิ้ว รวมถึงการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือและตา
การร้อยลูกปัด การร้อยลูกปัดขนาดต่างๆ เป็นการฝึกความแม่นยำในการใช้นิ้วมือและการทำงานร่วมกันของสองมือ
การเทและตัก ให้ลูกช่วยตักข้าวสาร เมล็ดถั่ว หรือน้ำ จากภาชนะหนึ่งไปอีกภาชนะหนึ่ง เป็นการฝึกการควบคุมการเคลื่อนไหวของมือและแขน
การฉีกและขยำกระดาษ การฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ หรือขยำกระดาษเป็นก้อน เป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อมือและนิ้ว
การติดสติกเกอร์ การแกะและติดสติกเกอร์ขนาดต่างๆ ช่วยฝึกความแม่นยำในการใช้นิ้วมือ
การเล่นทรายและน้ำ การตัก ตวง ก่อปราสาททราย หรือเล่นกับอุปกรณ์ในน้ำ เป็นการส่งเสริมการใช้มือและนิ้วอย่างอิสระ
การใช้กรรไกร
(ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่)
เมื่อเด็กโตขึ้น การฝึกใช้กรรไกรตัดกระดาษตามแนวเส้น เป็นการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่ซับซ้อนขึ้น

การเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้มือและนิ้วอย่างอิสระผ่านกิจกรรมที่หลากหลายในชีวิตจริง โดยไม่จำเป็นต้องเร่งรีบให้เด็กจับดินสอเขียนตั้งแต่เนิ่นๆ โดยฝึก ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ผ่านกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างพื้นฐานกล้ามเนื้อมัดเล็กที่แข็งแรง เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เด็กจะสามารถจับดินสอและเรียนรู้การเขียนได้อย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

 

2. ทักษะการฟังและการจดจ่อ (Listening & Concentration): เข้าใจในข้อมูลที่ได้รับ

ทักษะการฟังและการจดจ่อเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ทุกประเภท หากเด็กไม่สามารถฟังอย่างตั้งใจและจดจ่อกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า การเรียนรู้ก็จะผิวเผิน และอาจพลาดข้อมูลสำคัญไป

  • การฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening): ไม่ใช่แค่การ “ได้ยิน” แต่เป็นการใส่ใจในสิ่งที่ผู้พูดกำลังสื่อสาร ทำความเข้าใจความหมาย จับประเด็นสำคัญ และอาจมีการตอบสนองหรือถามคำถามเพื่อแสดงความเข้าใจ การฟังอย่างตั้งใจช่วยให้เด็กซึมซับข้อมูลได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
  • การจดจ่อ (Concentration): คือความสามารถในการรักษาสมาธิ มุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่วอกแวกหรือถูกรบกวนจากสิ่งเร้าภายนอกหรือความคิดภายใน การมีสมาธิจดจ่อช่วยให้เด็กสามารถประมวลผลข้อมูล ทำความเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อน และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

แนวทางการสร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมสมาธิและการฟัง

การฝึก ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้  ด้านการฟังและการจดจ่อสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานและเหมาะสมกับวัยของเด็ก และในบรรยากาศที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กฝึกฝนทักษะเหล่านี้ได้ดีขึ้น 

ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมสมาธิและการฟัง
การเล่านิทาน การเล่านิทานที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจ ชวนติดตาม และใช้โทนเสียงที่หลากหลาย จะช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กและฝึกให้เขาตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หลังเล่าจบ อาจชวนเด็กพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ตัวละคร หรือข้อคิดที่ได้
การเล่นเกมที่ต้องฟังคำสั่ง เกมง่ายๆ เช่น “Saimon says” หรือเกมที่ต้องทำตามคำบอก จะช่วยฝึกให้เด็กตั้งใจฟังและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างถูกต้อง
การทำกิจกรรมศิลปะที่ต้องตั้งใจ การวาดรูป ระบายสี พับกระดาษ หรือประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิ จะช่วยฝึกให้เด็กรู้จักจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
การฟังเพลงและเล่าเรื่องราวในเพลง การให้เด็กฟังเพลงที่มีเนื้อเรื่อง และชวนให้เขาเล่าเรื่องราวที่ได้ยิน จะช่วยฝึกทักษะการฟังและการจับใจความ
การเล่นบทบาทสมมติ การสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ และพูดคุยกัน จะช่วยฝึกให้เด็กตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูดและตอบสนองอย่างเหมาะสม
การทำกิจกรรมที่ต้องทำตามลำดับ เช่น การต่อเลโก้ตามคู่มือ หรือการทำอาหารง่ายๆ ตามขั้นตอน จะช่วยฝึกให้เด็กฟังและทำตามลำดับได้อย่างถูกต้อง
การฝึกการหายใจและการทำสมาธิแบบง่าย การสอนให้เด็กรู้จักสังเกตลมหายใจเข้าออก หรือการทำสมาธิแบบง่ายๆ ในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิมากขึ้น

3. การเข้าใจลำดับก่อน-หลัง (Sequencing): ส่งเสริมการคิดอย่างเป็นระบบ

การเข้าใจลำดับและขั้นตอน คือความสามารถในการรับรู้ จัดเรียง และเข้าใจเหตุการณ์ การกระทำ หรือข้อมูลต่างๆ ตามลำดับที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ทักษะนี้เป็นรากฐานสำคัญของการคิดอย่างเป็นระบบและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเรียนรู้ในหลากหลายด้าน ดังนี้

  • การอ่าน: เข้าใจลำดับตัวอักษรในคำและคำในประโยค ช่วยให้อ่านถูก เข้าใจความหมาย เข้าใจลำดับเรื่องราว
  • การเขียน: เข้าใจลำดับช่วยเรียบเรียงความคิด วางแผน เขียนประโยค เล่าเรื่องเป็นเหตุเป็นผล
  • การคำนวณ: เข้าใจลำดับขั้นตอนการคำนวณได้คำตอบถูก เข้าใจลำดับจำนวน เปรียบเทียบ เรียงลำดับเลขได้
  • การคิดเชิงตรรกะ: เข้าใจลำดับ “ก่อน-หลัง” “เหตุ-ผล” ช่วยวิเคราะห์ คาดการณ์ ตัดสินใจอย่างมีระบบ

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

ตัวอย่างกิจกรรมประจำวันที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเรื่องลำดับ

การทำกิจกรรมที่เน้นลำดับและขั้นตอนซ้ำๆ เป็นประจำ จะช่วยให้เด็กคุ้นเคยและเข้าใจแนวคิดเรื่อง “ก่อน-หลัง” และการทำซ้ำยังช่วยในการจดจำและทำให้ลำดับนั้นฝังอยู่ในความคิดของเด็กมากขึ้น

ตัวอย่างกิจกรรมช่วยให้เข้าใจลำดับก่อน-หลัง
การแต่งตัว ชวนลูกบอกลำดับขั้นตอนการแต่งตัว เช่น “ใส่กางเกงก่อน แล้วค่อยใส่เสื้อ ตามด้วยถุงเท้า และสุดท้ายคือรองเท้า” หรือให้ลูกเรียงลำดับภาพการแต่งตัว
การทำอาหารง่ายๆ ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหารง่ายๆ และอธิบายขั้นตอนต่างๆ เช่น “ขั้นแรก ล้างผักก่อน จากนั้นหั่น แล้วเอาไปผัด” หรือให้ลูกช่วยเรียงลำดับภาพขั้นตอนการทำอาหาร
การเล่าเรื่องตามลำดับภาพ ใช้ภาพหลายๆ ภาพที่แสดงเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แล้วให้ลูกเรียงลำดับภาพและเล่าเรื่องตามลำดับที่เกิดขึ้น
การทำกิจวัตรประจำวัน พูดคุยถึงลำดับกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน เช่น “ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว ไปโรงเรียน กลับบ้าน กินข้าวเย็น นอน”
การเล่นเกมที่ต้องทำตามขั้นตอน เกมเหล่านี้มักมีกฎและลำดับการเล่นที่ชัดเจน ซึ่งช่วยฝึกให้เด็กเข้าใจและทำตามขั้นตอน
การต่อบล็อกหรือต่อเลโก้ตามแบบ การดูแบบและต่อบล็อกตามลำดับขั้นตอนที่กำหนด ช่วยพัฒนาความเข้าใจเรื่องลำดับและการทำตามคำแนะนำ
การเล่านิทานและการสนทนาเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ หลังจากเล่านิทานจบ ชวนลูกพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ “อะไรเกิดขึ้นก่อน? แล้วอะไรเกิดตามมา?”

4. ทักษะการสังเกตและแยกเสียง (Phonemic Awareness): ก้าวแรกสู่การอ่านอย่างเข้าใจ

ความสามารถในการได้ยิน แยกแยะ และเข้าใจเสียงต่างๆ ที่ประกอบกันเป็นคำพูด เป็นหนึ่งใน ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้ ซึ่งสำคัญต่อการเรียนรู้การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าการท่องจำตัวอักษรเพียงอย่างเดียว

  • การถอดรหัสคำ (Decoding): รู้เสียง -> เชื่อมเสียงกับตัวอักษร -> อ่านคำได้ (เช่น cat = /k/ /æ/ /t/ -> c-a-t)
  • การสะกดคำ (Encoding): อยากเขียนคำ -> แยกเสียงในคำ -> เลือกตัวอักษรมาเขียน
  • ความเข้าใจในการอ่าน: อ่านออกเสียงคล่อง -> มีสมาธิเข้าใจความหมาย (Phonemic Awareness ช่วยให้อ่านราบรื่น)
  • การออกเสียงที่ถูกต้อง: รู้เสียง -> ออกเสียงคำได้แม่นยำตามหลักภาษา
  • การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่: แยกเสียงคำคุ้นเคย -> เรียนรู้คำใหม่ง่ายขึ้น (เชื่อมเสียงกับตัวอักษร)

การเน้นความตระหนักในเสียงจึงเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการอ่านออกเสียง การสะกดคำ และความเข้าใจในการอ่านในระยะยาว การท่องจำตัวอักษรเพียงอย่างเดียวโดยไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับตัวอักษร อาจทำให้เด็กอ่านได้แบบ “นกแก้วนกขุนทอง” คืออ่านออกเสียงได้แต่ไม่เข้าใจความหมาย

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

ตัวอย่างการเล่นกับเสียงเพื่อฝึกสังเกตและแยกเสียง

การส่งเสริม Phonemic Awareness สามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานและเน้นการฟังเสียงต่างๆ โดยไม่ต้องใช้ตัวหนังสือ

ตัวอย่างการฝึกสังเกตและแยกเสียง
การเล่นทายเสียงสัตว์ ให้เด็กหลับตาแล้วทำเสียงสัตว์ต่างๆ จากนั้นให้เด็กทายว่าเป็นเสียงของสัตว์อะไร เป็นการฝึกการฟังและแยกแยะเสียงต่างๆ
การแยกเสียงเริ่มต้นและเสียงท้ายของคำ
  • เสียงเริ่มต้น: พูดคำง่ายๆ แล้วถามว่า “คำว่า ‘แมว’ เสียงแรกคือเสียงอะไร?” (ตอบ: /ม/) หรือ “คำไหนขึ้นต้นด้วยเสียง /ป/ เหมือนคำว่า ‘ปลา’?” (ตัวอย่าง: ปู, ปาก)
  • เสียงท้าย: พูดคำง่ายๆ แล้วถามว่า “คำว่า ‘หมา’ เสียงสุดท้ายคือเสียงอะไร?” (ตอบ: /อา/) หรือ “คำไหนลงท้ายด้วยเสียง /น/ เหมือนคำว่า ‘กิน’?” (ตัวอย่าง: บิน, เดิน)
การเล่นสัมผัสคล้องจอง หาคำที่คล้องจองกัน เช่น “หมา – มา”, “แมว – แก้ว”, “ปลา – ลา” เป็นการฝึกการสังเกตเสียงที่เหมือนกันในคำ
การร้องเพลงที่มีการเน้นเสียง เลือกร้องเพลงที่มีการเน้นเสียงพยัญชนะหรือสระที่ชัดเจน หรือชวนเด็กแต่งเพลงง่ายๆ ที่เน้นเสียงใดเสียงหนึ่ง
การเล่นเกม “ฉันได้ยินเสียง…” บอกว่า “ฉันได้ยินเสียง /ป/ ในคำว่า…” แล้วให้เด็กช่วยหาคำที่มีเสียง /ป/
การใช้บัตรภาพ ใช้บัตรภาพคำศัพท์ง่ายๆ แล้วเน้นการออกเสียงแต่ละเสียงในคำอย่างชัดเจน

หัวใจสำคัญของการพัฒนา Phonemic Awareness คือการเน้นประสบการณ์ทางเสียงและการเล่นกับเสียงต่างๆ ก่อนที่จะแนะนำตัวอักษร การรีบร้อนสอนตัวหนังสือโดยที่เด็กยังไม่สามารถแยกแยะเสียงในคำได้ อาจทำให้การเรียนรู้การอ่านเป็นเรื่องยากและน่าเบื่อสำหรับเด็ก

 

5. ทักษะการทำซ้ำ (Repetition): ช่วยให้เด็กเข้าใจและจดจำดีขึ้น

การทำซ้ำ หรือ Repetition เป็นกลไกสำคัญในการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเด็ก สมองของเด็กกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและสร้างเครือข่ายเส้นประสาท การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นั้น ทำให้ข้อมูลหรือทักษะนั้นๆ ถูกจัดเก็บในความทรงจำระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • เสริมสร้างความเข้าใจ: ทำซ้ำช่วยให้เด็กสังเกตหลายมุม เข้าใจลึกซึ้ง เชื่อมโยงความรู้ ไม่ใช่แค่จำ
  • พัฒนาทักษะให้เชี่ยวชาญ: ฝึกซ้ำๆ เก่งขึ้น คล่องแคล่วขึ้น เหมือนฝึกดนตรีหรือกีฬา
  • สร้างความมั่นใจ: ทำซ้ำแล้วทำได้ดีขึ้น ทำให้มั่นใจ มีแรงจูงใจเรียนรู้ต่อ
  • ลดความกังวลและความกลัว: คุ้นเคยกับสิ่งเดิม ลดความกลัว กล้าลองสิ่งใหม่
  • ส่งเสริมการเรียนรู้แบบอัตโนมัติ: ทำซ้ำจนชำนาญ สมองทำงานอัตโนมัติ มีที่ว่างเรียนรู้สิ่งใหม่

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

แนวทางการส่งเสริมการทำซ้ำอย่างสนุกสนาน

สิ่งสำคัญคือการทำให้การทำซ้ำเป็นเรื่องสนุกและไม่น่าเบื่อสำหรับเด็ก เพื่อให้ลูกยังคงมีความสนใจและอยากที่จะทำซ้ำ แนวทางที่น่าสนใจ ได้แก่

ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการทำซ้ำอย่างสนุกสนาน
การเล่นของเล่นเดิมซ้ำๆ ในรูปแบบที่แตกต่าง แทนที่จะเปลี่ยนของเล่นใหม่ให้ลูกบ่อยๆ ลองให้ลูกเล่นของเล่นชิ้นในวิธีที่หลากหลาย เช่น การต่อเลโก้เป็นรูปทรงต่างๆ การเล่นบทบาทสมมติด้วยตุ๊กตาตัวเดิมในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน การใช้บล็อกไม้สร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ การทำซ้ำในรูปแบบที่ท้าทายขึ้นจะกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และทำให้ไม่รู้สึกจำเจ
การอ่านนิทานเรื่องโปรดซ้ำๆ เด็กมักจะชอบฟังนิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาคุ้นเคยกับเนื้อเรื่อง ลำดับเหตุการณ์ และคำศัพท์ต่างๆ ในแต่ละครั้งที่ฟัง พวกเขาอาจสังเกตรายละเอียดใหม่ๆ หรือเข้าใจเนื้อเรื่องในระดับที่ลึกซึ้งขึ้น ลองชวนลูกเล่าเรื่องตามภาพ หรือถามคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่องในแต่ละครั้งที่อ่าน
การร้องเพลงและทำท่าทางซ้ำๆ เพลงเด็กที่มีท่าทางประกอบเป็นกิจกรรมที่สนุกและช่วยให้เด็กจดจำเนื้อเพลงและลำดับท่าทางได้ดี การทำซ้ำท่าทางยังช่วยพัฒนาการประสานงานของร่างกาย
การทำกิจกรรมศิลปะซ้ำๆ ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เช่น การวาดรูปสิ่งเดิมซ้ำๆ แต่ใช้สี เทคนิค หรือวัสดุที่แตกต่างกัน การปั้นดินน้ำมันเป็นรูปทรงเดิมซ้ำๆ แต่เพิ่มรายละเอียดใหม่ๆ
การเล่นเกมซ้ำๆ ที่มีกติกาที่ปรับเปลี่ยนได้ เกมบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนกติกาหรือเพิ่มความท้าทายได้เมื่อเล่นซ้ำๆ ทำให้เด็กยังคงรู้สึกสนุกและได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากเกมเดิม
การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ การที่พ่อแม่ร่วมทำกิจกรรมซ้ำๆ กับลูกอย่างสนุกสนาน จะช่วยกระตุ้นความสนใจและสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้
การให้รางวัลและการเสริมแรง การชื่นชมและให้กำลังใจเมื่อลูกทำซ้ำกิจกรรมได้ดี จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลูกอยากทำซ้ำต่อไป

 

6. ทักษะการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ (Body Awareness): พื้นฐานในการควบคุมสมาธิ

การรับรู้ร่างกายที่ดีและการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ ช่วยให้เด็กสามารถควบคุมร่างกายตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการควบคุมการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนในการเขียน การรักษาสมาธิในการนั่งเรียน และการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น  ดังนี้

  • การควบคุมการเขียน: การเขียนที่ดีต้องอาศัยการควบคุมทั้งลำตัว แขน และมือ การรับรู้ร่างกายช่วยให้เด็กนั่งถูกท่า ทรงตัวมั่นคง และควบคุมมือเขียนได้แม่นยำ การเคลื่อนไหวตามจังหวะยังเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการประสานงานที่จำเป็น
  • การนั่งเรียน: การนั่งเรียนนานๆ ต้องการการควบคุมท่าทางที่ดีเพื่อจดจ่อ หากรับรู้ร่างกายไม่ดี อาจนั่งไม่เรียบร้อย เสียสมาธิ การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะช่วงพักช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
  • การใช้ชีวิตประจำวัน: การรับรู้ร่างกายและการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วเป็นพื้นฐานของกิจกรรมต่างๆ เช่น เดิน วิ่ง เล่น กีฬา แต่งตัว กินข้าว ช่วยให้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ดี ปลอดภัย และมั่นใจ

ทักษะพื้นฐานที่ลูกควรทำได้

ตัวอย่างกิจกรรมที่ส่งเสริมการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะและมีจุดประสงค์

การให้ความสำคัญกับการพัฒนาการรับรู้ร่างกายและการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ จะช่วยเสริมสร้างพื้นฐานการควบคุมตนเอง และมีสมาธิในการเรียนรู้ 

ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ร่างกายและการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ
การเต้นตามเพลง การเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะเพลงช่วยพัฒนาการประสานงานของร่างกาย ความรู้สึกต่อจังหวะ และความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง ลองเปิดเพลงหลากหลายแนว และปล่อยให้ลูกได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ หรือสอนท่าเต้นง่ายๆ
การกระโดดตบ การกระโดดและตบมือตามจังหวะ เป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ช่วยพัฒนาการประสานงานระหว่างมือ เท้า และสายตา รวมถึงการรับรู้จังหวะของตนเอง
การเล่นเกมที่ต้องเคลื่อนไหวตามคำสั่ง เช่น “Saimon says…” ที่ต้องทำตามคำสั่งเมื่อได้ยินคำว่า “Saimon says” เป็นการฝึกการฟัง การทำความเข้าใจคำสั่ง และการควบคุมร่างกายให้เคลื่อนไหวตามที่สั่ง
การเดินตามเส้น วางเชือกหรือใช้เทปกาวทำเป็นเส้นตรง เส้นโค้ง หรือเส้นซิกแซก แล้วให้ลูกเดินตามเส้น เป็นการฝึกการทรงตัวและการควบคุมการเคลื่อนไหวของขาและเท้า
การเล่นโยนรับลูกบอล การโยนและรับลูกบอลช่วยพัฒนาการประสานงานระหว่างมือและตา การกะระยะ และการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อรับลูกบอล
การคลานและมุด สร้างอุโมงค์จากผ้าห่มหรือกล่อง แล้วให้ลูกคลานหรือมุดผ่าน เป็นการฝึกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และการรับรู้พื้นที่
การเล่นกีฬา การเล่นกีฬาต่างๆ เช่น วิ่ง กระโดด เตะบอล ขว้างบอล ช่วยพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การประสานงาน และการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีจุดประสงค์ตามกติกาของกีฬา
กิจกรรมเลียนแบบ ให้ลูกเลียนแบบท่าทางของสัตว์ต่างๆ หรือท่าทางตามคำบรรยาย เช่น “ทำท่าเหมือนต้นไม้ที่ลมพัด” เป็นการกระตุ้นจินตนาการและการรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายในรูปแบบต่างๆ
การทำกิจกรรมตามจังหวะ เช่น การปรบมือ เคาะโต๊ะ หรือเดินตามจังหวะที่กำหนด เป็นการฝึกการรับรู้และตอบสนองต่อจังหวะ

 

โดยสรุปแล้ว ทักษะพื้นฐานทั้ง 6 ประการ ได้แก่ การควบคุมมือและนิ้ว การฟังและจดจ่อ การเข้าใจลำดับ การสังเกตและแยกเสียง การทำซ้ำ และการเคลื่อนไหวอย่างมีจังหวะ ล้วนเป็นรากฐานสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเตรียมความพร้อมของเด็กก่อนเริ่มเรียนรู้วิชาการ พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะและพัฒนาทักษะเหล่านี้ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านอื่นๆ เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตเป็นผู้เรียนรู้ที่มีศักยภาพและประสบความสำเร็จในอนาคต

ที่มา : แม่อิ๊บ เลี้ยงลูกแบบมอนเตสซอรี่

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

20 กิจกรรมพัฒนาสมองลูกน้อย ปลดล็อคพลังสมองลูกวัยเตาะแตะ

15 วิธีกระตุ้นสมองทารก ช่วยให้ลูกฉลาด ทำได้ตั้งแต่แรกเกิด

กิจกรรมเด็ก 2 ขวบ เล่นอะไรดี สร้างความสนุก ส่งเสริมพัฒนาการลูกรอบด้าน

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!