พ่อแม่หลายคนคงเคยสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียง ลูกหายใจครืดคราดเวลานอน หรือมีเสมหะในลำคอ เสียงแบบนี้ทำให้ใจไม่ดี กลัวว่าลูกจะหายใจติดขัด หรือเป็นอาการของโรคทางเดินหายใจที่ร้ายแรง ยิ่งช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ฝุ่น PM 2.5 หนาแน่น หรือเป็นช่วงหน้าฝนที่ไวรัสระบาดง่าย อาการเหล่านี้ยิ่งทำให้พ่อแม่กังวลว่า เป็นเพียงอาการชั่วคราวหรือมีปัญหาสุขภาพที่ต้องรีบไปพบแพทย์
บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปหาคำตอบว่า “ลูกหายใจครืดคราดเวลานอน” เกิดจากอะไร แบบไหนที่ต้องกังวล พร้อมแนะนำวิธีดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ เพื่อให้ลูกนอนหลับสบาย หายใจโล่ง และพ่อแม่วางใจได้มากขึ้น
ลูกหายใจครืดคราด คืออะไร เพราะอะไร
เสียงหายใจครืดคราดในเด็ก เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ ลูกหายใจครืดคราดเวลานอน ถึงแม้จะพบได้บ่อยแต่ก็เป็นหนึ่งในอาการที่พ่อแม่กังวลใจ สาเหตุของอาการหายใจมีเสียงครืดคราดนั้นเกิดได้จากหลายประการ ทั้งจากการที่ทางเดินหายใจแคบลงหรือมีสิ่งอุดกั้น ส่งผลให้ลมหายใจไหลผ่านได้ไม่สะดวก จึงเกิดเสียงผิดปกติขึ้น
อาการนี้มักพบได้บ่อยในเด็กที่มีการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย เช่น ไข้หวัด หรือโรคครูป (Croup) ซึ่งทำให้ทางเดินหายใจบวมและตีบลง
อย่างไรก็ตาม ภาวะหายใจครืดคราดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ความผิดปกติแต่กำเนิดไปจนถึงโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น
- ภาวะทางเดินหายใจส่วนล่างตีบแต่กำเนิด (Congenital subglottic stenosis)
- การบวมผิดปกติของเนื้อเยื่อในลำคอ
- ก้อนเนื้องอกหรือซีสต์ในทางเดินหายใจ
- แผลเป็นจากการอักเสบหรือการใส่ท่อช่วยหายใจ (Acquired subglottic stenosis)
- ภาวะหลอดเลือดผิดปกติในลำคอ (Hemangioma)
- โรคหืด (Asthma)
- ภาวะสายเสียงเป็นอัมพาต (Vocal cord paralysis)
- ความผิดปกติของสายเสียงที่ทำให้การหายใจผิดจังหวะ (Paradoxical vocal cord dysfunction – PVCD)
- ภาวะติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อในทางเดินหายใจ (Recurrent respiratory papillomatosis)
เนื่องจากสาเหตุของเสียงหายใจครืดคราดมีความหลากหลาย หากลูกมีอาการเป็นบ่อย หรือเสียงผิดปกติรุนแรงขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

อาการที่พบบ่อย เมื่อลูกหายใจครืดคราดเวลานอน
-
ลูกหายใจครืดคราด แต่ไม่มีน้ำมูก
อาจเกิดจากการมีเสมหะติดขัดทำให้หายใจไม่สะดวก รวมถึงอาการภูมิแพ้ ที่ทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวม อาจทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลงและเกิดเสียงหายใจครืดคราดได้ ภาวะนี้อาจเกิดจากการแพ้ อากาศแห้ง หรือการระคายเคืองจากฝุ่นและมลภาวะ เช่น PM 2.5 นอกจากนี้ อาการกรดไหลย้อน ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณลำคอและสายเสียง ทำให้เกิดอาการเสียงแหบ ไอแห้ง และหายใจครืดคราดโดยไม่มีน้ำมูกได้
สิ่งที่พ่อแม่ควรระวังเมื่อ ลูกหายใจครืดคราด แต่ไม่มีน้ำมูก คือ เมื่ออาการเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน อาจเป็นเพราะสิ่งแปลกปลอม เช่น เศษอาหาร หรือของเล่นชิ้นเล็กๆ ติดอยู่ในจมูกหรือหลอดลม ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและเกิดเสียงผิดปกติ หากลูกหายใจครืดคราดต่อเนื่องโดยไม่มีน้ำมูก หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น หายใจลำบาก ไอเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดดังขึ้นเรื่อยๆ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง
กรณีที่ลูกหายใจครืดคราด และมีเสมหะร่วมด้วย ทั้งยังร้องงอแง เสียงแหบ อาจมาจากปัญหาในทางเดินหายใจของลูก เช่น สำลักนม ติดเชื้อในทางเดินหายใจ มีโครงสร้างของทางเดินหายใจที่ผิดปกติบางอย่าง รวมถึงการที่เด็กมีอาการท้องอืด ยังไม่ได้เรอออกมามากพอหลังกินนมก็อาจทำให้เกิดอาการในลักษณะนี้ได้
นอกจากนี้ ไวรัสหวัดก็อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กมีเสมหะและหายใจครืดคราด โดยมักมีอาการน้ำมูก ไอ และคัดจมูกร่วมด้วย เสมหะอาจเหนียวข้นขึ้น หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หากลูกมีอาการติดต่อกันหลายวัน งอแง กินนม กินอาหารน้อยลง ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
-
ลูกนอนห้องแอร์ หายใจครืดคราด
สำหรับเด็กๆ ที่นอนในห้องแอร์ ก็อาจหายใจครืดคราดได้ โดยมีทั้งหายใจครืดคราดแบบมีน้ำมูก และไม่มีน้ำมูก กรณีที่ไม่มีน้ำมูก เป็นเพราะสภาพแวดล้อมในห้องแอร์ที่อากาศแห้งมาก จะทำให้เยื่อบุจมูกและคอแห้ง เกิดการระคายเคืองและมีเสียงผิดปกติขณะหายใจ กรณีที่มีน้ำมูกและเสมหะข้น จากการอยู่ในห้องแอร์ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งหากอาการหายใจครืดคราดไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีไข้สูง ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

ช่วยลูกหายใจสะดวก ไม่ครืดคราดเวลานอน
หากลูกมีอาการหายใจครืดคราด พ่อแม่สามารถดูแลช่วยให้ลูกหายใจสะดวกขึ้นได้ ดังนี้
- ปรับท่านอน – ให้ลูกนอนตะแคงหรือนอนศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจเปิดกว้างขึ้น
- เพิ่มความชื้นในห้อง – ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น หรือวางถ้วยน้ำในห้องนอน เพื่อลดอากาศแห้งที่อาจทำให้จมูกอุดตัน
- ดูแลจมูกให้โล่ง – หากมีเสมหะหรือน้ำมูก ให้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หรือใช้ลูกยางดูดน้ำมูกออก และให้ลูกดื่มน้ำอุ่นหรือนมอุ่นเพื่อช่วยละลายเสมหะ
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ – รักษาความสะอาดรอบตัวลูก ซักผ้าปูที่นอนเป็นประจำ กำจัดฝุ่น และหลีกเลี่ยงพรมในห้องนอน ห่างไกลจากควันบุหรี่ กลิ่นฉุน และสารเคมีที่อาจระคายเคืองทางเดินหายใจ
นอกจากนี้ ควรดูแลป้องกันอาการหายใจครืดคราดไม่ให้กำเริบ ด้วยการ รักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาดและเหมาะสม ทำความสะอาดห้องนอน ซักผ้าปูที่นอนเป็นประจำ รักษาความชื้นให้เหมาะสม และหมั่นทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ให้กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และนอนหลับอย่างเหมาะสม

ลูกหายใจครืดคราดเวลานอน แบบไหนควรไปหาหมอ
การหาสาเหตุของอาการหายใจครืดคราดในเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเสียงที่เกิดขึ้นอาจมาจาก เสียงหวีด (wheezing), เสียงหวีดดังมาก เมื่อหายใจเข้า (stridor) หรือ เสียงกรน (stertor) ซึ่งพ่อแม่และแพทย์ทั่วไปอาจแยกแยะความแตกต่างได้ยากจากการตรวจร่างกายเพียงอย่างเดียว การวินิจฉัยที่แม่นยำมักต้องอาศัยการตรวจระบบทางเดินหายใจและปอดอย่างละเอียด
โดยส่วนใหญ่ อาการหายใจครืดคราดไม่ใช่เรื่องอันตราย และมักหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา อย่างไรก็ตาม หากอาการยังคงอยู่แม้ลูกหายป่วยแล้ว หรือหายไปแล้วกลับมาเป็นอีก รวมทั้งลูกงอแงผิดปกติ ไม่กิน ไม่นอน หรือมีอาการพร้อมกับมีไข้สูง ควรพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม จะช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกได้อย่างมั่นใจและสบายใจมากขึ้น
ที่มา: Newport Children Hospital , Pobpad
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ทารกง่วงแต่ไม่ยอมนอน ทำไงดี? แนะวิธีแก้ ก่อนกระทบพัฒนาการลูกน้อย!
อันตรายจากการหอมแก้มเด็ก แม่โพสต์เตือน อย่าให้ใครหอมลูก ไม่งั้นจะเป็นเหมือนบ้านนี้
10 หมอภูมิแพ้เด็ก 2568 ที่ชาวเน็ตแนะนำ ลูกเป็นภูมิแพ้ หาหมอที่ไหนดี
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!