TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • TAP Awards 2025
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า สมาธิสั้น จริงไหม?

บทความ 8 นาที
พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า สมาธิสั้น จริงไหม?

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ลูกพูดช้า สมาธิสั้น จริงไหม? คำตอบที่ต้องรู้จากจิตแพทย์เด็ก นักจิตวิทยา และงานวิจัยทั่วโลก

เคยไหมคะที่คุณกำลังเลื่อนมือถือเพลิน ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาพบว่าลูกกำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ โดยไม่มีใครคุยด้วย? ภาพเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติ ในยุคที่โทรศัพท์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แม้แต่ในเวลาที่ควรเป็นช่วงเวลาร่วมกันของครอบครัว หลายคนอาจมองว่า “แค่เล่นมือถือ ไม่ได้ทำร้ายลูกเสียหน่อย” แต่รู้ไหมคะว่า การที่ พ่อแม่ติดมือถือ อาจส่งผลให้ลูกพูดช้า มีปัญหาสมาธิ และขาดพัฒนาการทางอารมณ์ บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ ไปสำรวจข้อเท็จจริงทางจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ เบื้องหลังคำถามที่ว่า พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า สมาธิสั้น จริงไหม

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า จริงไหม

เด็กในวัยแรกเกิด จนถึง 6 ปี เป็นช่วงที่สมองเติบโตเร็วที่สุด พวกเขาเรียนรู้โลกผ่านการสบตา การฟังเสียง และการโต้ตอบกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ ซึ่งเป็น “โลกทั้งใบ” ของพวกเขา เมื่อพ่อแม่มัวแต่ก้มดูมือถือ ลูกจะไม่ได้รับ “การโต้ตอบ” หรือที่เรียกว่า serve and return interaction ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพัฒนาการสมองในช่วงต้นชีวิต การพูดคุยกับลูก การตอบสนองกลับทันทีเมื่อเขาหันมามอง หรือพยายามสื่อสาร คือปฏิสัมพันธ์ที่สมองเด็กใช้ในการเชื่อมโยงเซลล์ประสาท สร้างโครงสร้างสมองพื้นฐานให้แข็งแรง

นอกจากนี้ พฤติกรรม “phubbing” (phone + snubbing) หรือการเมินคนตรงหน้าขณะเล่นมือถือ โดยเฉพาะคนสำคัญอย่างลูกน้อย อาจทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญ ไม่ได้รับความรัก หรือแม้กระทั่งไม่มีตัวตนในสายตาของพ่อแม่ John Bowlby นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ศึกษา ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ชี้ว่า การตอบสนองจากพ่อแม่อย่างต่อเนื่องและมั่นคง เป็นรากฐานของพัฒนาการอารมณ์ และบุคลิกภาพในระยะยาวของเด็ก

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า

งานวิจัยจากทั่วโลกที่ยืนยันผลกระทบ

มีงานวิจัยมากมายที่ออกมายืนยันว่า พฤติกรรมติดมือถือของพ่อแม่ ส่งผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของลูกจริง ๆ โดยเฉพาะด้านภาษา สมาธิ และความสามารถในการควบคุมตนเอง:

  • งานวิจัยจาก Journal of Developmental & Behavioral Pediatrics (2022)

งานวิจัยนี้พบว่า เด็กที่พ่อแม่ใช้มือถือมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่กับลูก มีแนวโน้มที่จะพูดช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน และมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ เช่น โมโหง่าย หรือร้องไห้ง่าย

  • University of Michigan: Technoference Study

คำว่า “Technoference” คือการที่เทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะเวลาพ่อแม่เล่นมือถือขณะอยู่กับลูก พบว่าเด็กที่เติบโตในบ้านที่มี technoference สูง มีแนวโน้มพฤติกรรมก้าวร้าว สมาธิสั้น และไม่สามารถเข้าสังคมได้ดี เท่าเด็กในบ้านที่มีปฏิสัมพันธ์กันบ่อย

  • แนวทางของ American Academy of Pediatrics (AAP)

AAP แนะนำว่า พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอร่วมกับลูกเล็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน และควรให้เวลาคุณภาพกับลูก โดยไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อเสริมพัฒนาการทางภาษาและอารมณ์

มือถือไม่ใช่ผู้ร้าย แต่การขาด “สายตาและคำพูดจากพ่อแม่” คือปัญหา

แท้จริงแล้ว มือถืออาจไม่ได้เป็นตัวร้ายโดยตรง แต่ปัญหาคือ “ช่วงเวลาที่พ่อแม่ขาดการเชื่อมโยงกับลูก” ต่างหาก

  • Social Referencing: ลูกเรียนรู้จากใบหน้าและท่าทางพ่อแม่

ในวัย 6 เดือนถึง 2 ขวบ เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ และความปลอดภัยของโลก จาก “การอ่านสีหน้า” ของพ่อแม่ ถ้าเด็กเจออะไรใหม่ ๆ เช่น หมาตัวใหญ่ เสียงดัง หรือคนแปลกหน้า พวกเขาจะหันมองแม่ หากแม่ยิ้ม เด็กจะรู้ว่า “โอเค ไม่อันตราย” แต่หากแม่กำลังดูมือถือและไม่สนใจ เด็กจะรู้สึกไม่มั่นใจ

  • การศึกษาเรื่อง Still Face Experiment โดย Dr. Ed Tronick

การทดลองนี้ให้แม่เล่นกับลูกก่อน แล้วอยู่ดี ๆ ให้แม่นิ่งเฉย ไม่สบตา ไม่พูดไม่ยิ้ม เด็กจะเริ่มวิตกกังวล งอแง และพยายามเรียกร้องความสนใจ หากไม่มีการตอบสนอง เด็กจะหันหน้าหนีและแสดงท่าที “ปิดการรับรู้” สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่พ่อแม่มัวแต่จ้องหน้าจอ แล้วละเลยการสื่อสารทางตาและเสียงกับลูก ส่งผลต่อการสร้างสายใยแห่งความไว้ใจระหว่างกันโดยตรง มือถือไม่ผิด แต่การขาด “Eye contact” “เสียงตอบรับ” และ “สัมผัส” ระหว่างพ่อแม่กับลูกต่างหาก ที่เป็นจุดที่อันตรายต่อพัฒนาการของลูก

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า

ลูกพูดช้า สมาธิสั้น: เกิดจากมือถือของพ่อแม่ หรือมีปัจจัยอื่น?

แม้ว่าการติดมือถือของพ่อแม่ จะเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งผลต่อพัฒนาการของลูก แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวเท่านั้น การพูดช้า หรือสมาธิสั้นของเด็ก อาจมีที่มาจากหลายองค์ประกอบร่วมกัน ได้แก่:

  • พันธุกรรม: เด็กบางคนมีพื้นฐานทางพันธุกรรมที่ทำให้มีพัฒนาการช้ากว่าเกณฑ์
  • สภาพแวดล้อม: เด็กที่เติบโตในบ้านที่เงียบ ไม่มีคนพูดด้วย หรือขาดแรงกระตุ้นจากรอบตัว ก็มีโอกาสพัฒนาช้ากว่า
  • โภชนาการ: ขาดสารอาหารบางชนิด เช่น ธาตุเหล็ก DHA หรือวิตามิน B ก็อาจส่งผลต่อสมอง และพัฒนาการ
  • การติดจอของเด็กเอง: หากปล่อยให้ลูกดูยูทูป หรือทีวีตลอดเวลา แบบขาดการมีส่วนร่วมจากพ่อแม่ เด็กจะมีโอกาสพัฒนา “ทักษะรับ” (passive) แต่ขาด “ทักษะโต้ตอบ” (interactive)

เด็กที่พูดช้า เพราะมือถือของพ่อแม่ มักเกิดจากการขาด “ช่วงเวลาโต้ตอบทางภาษา” ซึ่งปกติควรมีตลอดวัน การได้ยินภาษาจากวิดีโอ ไม่สามารถแทนที่ประโยคจริงจากพ่อแม่ได้ เพราะไม่มีการหันมาสบตา และไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ

พฤติกรรมพ่อแม่ที่อาจทำให้ “ลูกพูดช้า” โดยไม่รู้ตัว

1. พูดกับมือถือมากกว่าพูดกับลูก

บางครอบครัวพูดเสียงหวานกับ TikTok แต่ตอบลูกด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น เช่น “เดี๋ยวก่อน” หรือ “อย่าเพิ่ง” อาจทำให้ลูกเรียนรู้ว่า เสียงของตนไม่มีค่าเท่ากับเสียงจากหน้าจอ

2. ให้ลูกดูจอเป็นหลัก โดยไม่พูดคุยเสริม

หากเปิดการ์ตูนให้ลูกดูขณะทานข้าว โดยไม่มีการชวนคุย เด็กจะจดจำภาพและเสียงแบบตื้น ๆ โดยไม่พัฒนาคำศัพท์ใหม่

3. ขาดสื่อกลางทางอารมณ์

การสบตา การกอด หรือการยิ้มให้ ขณะพูดคุยกับลูก คือ “สื่อกลางอารมณ์” ที่ทำให้ภาษาเชื่อมโยงกับความรัก

4. ใช้มือถือกล่อมลูกแทนตัวเอง

เมื่อลูกร้องงอแง การยื่นมือถือให้ แทนการปลอบด้วยคำพูด กอด หรือกล่อม ทำให้เด็กเรียนรู้ว่า อุปกรณ์เหล่านี้ คือทางออกของอารมณ์

สัญญาณเตือนที่ควรรีบปรึกษาแพทย์

  • อายุ 1 ปี แต่ยังไม่ตอบสนองเมื่อตนเองถูกเรียกชื่อ
  • อายุ 18 เดือน ยังไม่พูดคำที่มีความหมาย เช่น “แม่” “ปา” “เอา”
  • อายุ 2 ขวบ ยังไม่สามารถพูดคำ 2 พยางค์ เช่น “ไปกิน” “หม่ำข้าว”
  • ไม่สบตา ไม่โต้ตอบ ไม่เล่นสมมติ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอ มากกว่าเวลาอยู่กับคนจริง ๆ

หากพบว่าลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรพาไปพบหมอด้านพัฒนาการเด็ก เพื่อประเมินเพิ่มเติม

พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า

จะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมพ่อแม่ได้ยังไง?

  • ตั้งกติกาการใช้มือถือในบ้าน: เช่น ไม่มีมือถือบนโต๊ะอาหาร, งดดูหน้าจอหลัง 2 ทุ่ม
  • ให้เวลาเล่นกับลูกแบบไม่มีจอ วันละอย่างน้อย 30 นาที: ใช้การเล่านิทาน ร้องเพลง เล่นบทบาทสมมติ เพื่อกระตุ้นการพูด
  • ตอบสนองทุกครั้งที่ลูกส่งสัญญาณอยากสื่อสาร: เช่น ชี้นิ้ว ส่งเสียง ทำท่าทาง ให้หันไปตอบเขาในทันที
  • เลี่ยงการใช้มือถือเป็นรางวัล หรือเครื่องมือควบคุมพฤติกรรม: เพราะจะทำให้เด็กมีเงื่อนไขพฤติกรรมต่อจอแบบผิด ๆ
  • ใช้เทคนิค Pomodoro Parenting: เล่นกับลูก 25 นาที พัก 5 นาทีให้ตนเองดูมือถือ แล้วกลับมาเต็มที่กับลูกอีกครั้ง

เลี้ยงลูกในยุคดิจิทัล ต้องไม่สุดโต่ง

เราไม่จำเป็นต้องเลิกใช้มือถือ แต่ต้องใช้ด้วยความตระหนัก เช่น:

  • ใช้มือถือเป็นเครื่องมือเสริมการเรียนรู้ เช่น ดูการ์ตูน แล้วตั้งคำถามให้ลูกตอบ
  • ให้ลูกเห็นการใช้เทคโนโลยีอย่างมีวินัย เช่น ใช้เสร็จเก็บ ไม่หยิบขึ้นมาระหว่างลูกเล่าเรื่อง
  • แบ่งเวลาเล่นมือถือร่วมกันอย่างมีขอบเขต เช่น ดูคลิปวันละ 30 นาที แล้วพูดคุยกันต่อหลังจากนั้น

มือถือไม่ใช่ศัตรูของการเลี้ยงลูก แต่พฤติกรรมของพ่อแม่ ที่ขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกต่างหาก ที่ส่งผลร้ายต่อพัฒนาการ คำว่า “ติดมือถือ” ไม่ได้แปลว่าเล่นทั้งวัน แต่หมายถึงการที่มือถือเข้ามาแย่งช่วงเวลาคุณภาพไปโดยที่เราไม่รู้ตัว

สิ่งที่ลูกต้องการ ไม่ใช่แค่ข้าวของ ไม่ใช่แค่โรงเรียนดี ๆ หรือวิดีโอเสริมพัฒนาการ แต่คือ สายตาที่มองลูกอย่างรักใคร่ คำพูดที่เต็มไปด้วยความหมาย และเวลาที่พ่อแม่มอบให้ด้วยความใส่ใจอย่างแท้จริง

บทความจากพันธมิตร
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023

ที่มา: pediatrics , ncbi

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เด็กน้อยกับ TikTok: ให้ลูกเล่น TikTok ดีมั้ย ควรเริ่มตอนอายุเท่าไร

ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ แม่แชร์อุทาหรณ์! 3 ขวบยังพูดไม่ได้ พัฒนาการช้าไป 2 ปี

ลูกชายติดแม่ ลูกสาวติดพ่อ จริงไหม? มุมมองทางจิตวิทยาพัฒนาการสมัยใหม่

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

PP.

  • หน้าแรก
  • /
  • ชีวิตครอบครัว
  • /
  • พ่อแม่ติดมือถือ ทำให้ ลูกพูดช้า สมาธิสั้น จริงไหม?
แชร์ :
  • ลูกทำอะไรช้าไปหมด: เข้าใจ “ความช้า” ของเด็กเล็ก และวิธีเลี้ยงลูกให้เติบโตตามจังหวะตัวเอง

    ลูกทำอะไรช้าไปหมด: เข้าใจ “ความช้า” ของเด็กเล็ก และวิธีเลี้ยงลูกให้เติบโตตามจังหวะตัวเอง

  • 9 วิธีรับมือความเครียด ของ แม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังคลอด

    9 วิธีรับมือความเครียด ของ แม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังคลอด

  • ลูกไม่ได้ดื้อ เขาแค่ไม่เข้าใจเรา: วิธีสื่อสารกับลูกแบบไม่ต้องขู่

    ลูกไม่ได้ดื้อ เขาแค่ไม่เข้าใจเรา: วิธีสื่อสารกับลูกแบบไม่ต้องขู่

  • ลูกทำอะไรช้าไปหมด: เข้าใจ “ความช้า” ของเด็กเล็ก และวิธีเลี้ยงลูกให้เติบโตตามจังหวะตัวเอง

    ลูกทำอะไรช้าไปหมด: เข้าใจ “ความช้า” ของเด็กเล็ก และวิธีเลี้ยงลูกให้เติบโตตามจังหวะตัวเอง

  • 9 วิธีรับมือความเครียด ของ แม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังคลอด

    9 วิธีรับมือความเครียด ของ แม่ที่ต้องกลับไปทำงานหลังคลอด

  • ลูกไม่ได้ดื้อ เขาแค่ไม่เข้าใจเรา: วิธีสื่อสารกับลูกแบบไม่ต้องขู่

    ลูกไม่ได้ดื้อ เขาแค่ไม่เข้าใจเรา: วิธีสื่อสารกับลูกแบบไม่ต้องขู่

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว