คุณแม่ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Aoy Sirintip ได้โพสต์อุทาหรณ์เตือนแม่ๆ ในกรุ๊ป herkid รวมพลเห่อลูก ถึงผลกระทบของการ ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ จนตอนนี้ลูก 3 ขวบ 8 เดือน ยังพูดไม่ได้ หมอบอกว่าพัฒนาการช้าไป 2 ปี โดยคุณแม่เล่าเรื่องราวไว้ดังนี้
ฝากเป็นอุทาหรณ์ให้เเม่ๆนะคะ ต้องบอกก่อนว่า แม่เลี้ยงน้องมาแบบผิดวิธีมากๆ อยู่ด้วยกันตั้งเเต่น้องเกิด และใช้เวลากับน้อง 24 ชม. แต่เมื่อ 2 ปีที่เเล้ว แม่ย้ายไปอยู่ ตจว. เอาน้องไปด้วย ก็อยู่ด้วยกัน 24 ชม. เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ แม่กับป๋าเค้างานยุ่งมากๆ เลย ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ อันนี้เเม่ผิดจริงๆ จึงทำให้น้องพูดไม่ได้จนตอนนี้ น้องอายุ 3ขวบ8เดือน.
แล้วแม่ก็ได้พาน้องย้ายกลับมาที่บ้านที่ สป. แล้วเเม่คิดว่าน้องเริ่มมีอารมณ์รุนแรงมากขึ้น จึงพาไปฝึกพัฒนา ได้ประมาณเกือบ 3 เดือน แล้วเเม่ก็คลอดคนเล็ก จึงไม่ได้ไปพัฒนาต่อเนื่อง
ญาติๆของเเม่บอกว่าให้ลองเอาต้องเข้าเรียน พอเจอคนเยอะๆเพื่อนพูดได้จะได้ทำตามเพื่อน แม่ก็เอาน้องเข้าเรียน พร้อมกับพาน้องไปรักษาแบบจริงๆจังๆ เเม่เจอนักจิตเด็กและหมอครั้งเเรก เค้าเเจ้งว่าลูกเค้าพัฒนาการล่าช้าไป 2 ปี แม่รู้สึกเสียใจมากๆเลย แต่เค้า บอกว่าถ้าตอนนี้ยังรักษาน้องให้ปกติได้ แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย. พร้อมกับให้น้องไปเรียน ปกติและต้องมาเรียนกลุ่มกับหมอเป็นระยะยาว ประมาณ 3เดือน. แล้วหมอก็จ่ายยาให้น้องมากินก่อนนอน น้องกินยาได้ เล่นได้ปกติ แต่น้องจะนิ่งลง ดื้อน้อยลง เเละเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มพูด หมู หมา เสือ สิงโต ได้เเล้ว.
แต่พอมาวันนี้ แม่ไปรับลูกสาวที่โรงเรียน คุณครูเเจ้งแม่ว่า ให้น้องงดมาเรียนไปก่อนนะเเม่ แบบไม่มีกำหนด จนกว่าน้องจะนิ่งได้กว่านี้.
(โดยคุณแม่ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่ครูให้น้องงดมาเรียน เนื่องจากครูเเจ้งว่าน้องกินสี กินหญ้า กินดอกไม้ ทั้งๆที่เค้าหยุดพฤติกรรมแบบนี้มาพักนึงแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่าอะไรถึงทำให้เค้ากลับมากินอีก)
อยากฝากเตือนแม่ๆทุกท่านนะคะ มือถือ ทีวี อย่าพลาดให้น้องดูเลยตอนเด็กๆ มันมีผลกระทบมากๆเลยกับตัวเค้า และเเม่ก็รู้สึกผิดกับลูกมากๆเลย ตอนนั้นไม่น่าเห็นงานกับเงิน สำคัญกว่าลูกเลย. คนที่2ของแม่ แม่จะไม่พลาดซ้ำอีก ถ้าเรารู้ตัวว่าลูกเราไม่ปกติ รีบหาหมอรักษาดีที่สุดนะคะ อย่าปล่อยไว้เลย แม่ไม่อยากให้ใครเสียใจทีหลังเหมือนแม่จ้ะ

จากเรื่องราวที่คุณแม่ได้แบ่งปันในครั้งนี้ ทีมงาน theAsianparent ขอให้คุณแม่เข้มแข็ง อดทน และไม่ท้อถอยนะคะ เราเชื่อว่าด้วยความรักความพยายามของคุณแม่ น้องจะเติบโตและพัฒนาไปได้อย่างแน่นอนค่ะ
เคสของน้องเป็นบทเรียนที่สำคัญและเตือนใจเราทุกคนว่าไม่มีอะไรมาทดแทนการเลี้ยงดูและการปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองได้ หน้าจอเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูเด็กค่ะ การให้เวลาคุณภาพกับลูก คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่ออนาคตของลูกน้อยอย่างแท้จริง
ผลกระทบของการ ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ ต่อพัฒนาการเด็ก
คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนที่กำลังเลี้ยงลูกผิดวิธี คิดว่า “จอ” จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนลูกได้ ในเวลาที่พ่อแม่ทำงาน แท้จริงแล้ว การปล่อยให้เด็กเล็กใช้เวลาอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการรอบด้านของเด็ก
1. พัฒนาการล่าช้าด้านภาษาและการสื่อสาร
เด็กเรียนรู้ภาษาจากการโต้ตอบกับคนจริง ไม่ใช่การรับสารทางเดียวจากหน้าจอ การที่เด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอมาก ทำให้ขาดโอกาสในการฝึกพูด ฟัง และตอบโต้กับผู้คนรอบข้าง
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการใช้หน้าจอที่มากเกินไปในเด็กเล็ก กับความล่าช้าทางด้านภาษาและการพูด เช่น การศึกษาของ American Academy of Pediatrics (AAP) พบว่าทุกๆ 30 นาทีของการดูหน้าจอในเด็กวัย 18 เดือนถึง 2 ขวบครึ่ง มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยง 49% ของภาวะล่าช้าในการพูดแบบ expressive speech
2. ปัญหาด้านพัฒนาการสังคมและอารมณ์
เด็กเรียนรู้ทักษะทางสังคมจากการสังเกต ปฏิสัมพันธ์ และการเล่นกับผู้อื่น การอยู่กับหน้าจอทำให้เด็กขาดโอกาสเหล่านี้ ส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการทำความเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น ขาดทักษะการเล่นร่วมกับผู้อื่น และอาจแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
มีงานวิจัยที่เชื่อมโยงการใช้หน้าจอที่มากเกินไปกับการเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาพฤติกรรม เช่น สมาธิสั้น (ADHD) พฤติกรรมก้าวร้าว และปัญหาในการควบคุมอารมณ์
3. ปัญหาด้านพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานานทำให้เด็กอยู่นิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น การหยิบจับสิ่งของ การวาดรูป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการด้านร่างกายและการเรียนรู้ในอนาคต
4. ปัญหาสายตาและการนอนหลับ
แสงสีฟ้าจากหน้าจออาจส่งผลต่อการทำงานของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ นอกจากนี้ การจ้องหน้าจอเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสายตา เช่น ตาแห้ง หรือปวดตา
5. เสี่ยงต่อภาวะออทิสติกเทียม
แม้จะไม่มีการวินิจฉัย “ออทิสติกเทียม” ในทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ แต่มีงานวิจัยและกรณีศึกษาจำนวนมากพบว่า เด็กเล็กที่ได้รับสิ่งกระตุ้นจากหน้าจอมากเกินไป และขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างเพียงพอ อาจแสดงอาการคล้ายคลึงกับเด็กออทิสติก เช่น ไม่สบตา ไม่ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเดิมๆ เล่นซ้ำๆ ซึ่งอาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อมีการลดการใช้จอและเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

คำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่
- เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี งดการใช้หน้าจอโดยสิ้นเชิง ยกเว้นการ Video Call กับญาติผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว
- เด็กอายุ 2-5 ปี จำกัดการใช้หน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยต้องเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีผู้ปกครองร่วมรับชมและอธิบาย
- เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป กำหนดเวลาที่เหมาะสมร่วมกัน และต้องมีกิจกรรมอื่นที่ส่งเสริมพัฒนาการควบคู่ไปด้วย
สิ่งที่ควรทำแทนการ ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ
การลดเวลาหน้าจอไม่ใช่แค่การ “งด” แต่คือการเพิ่มโอกาสทองให้ลูกเติบโตอย่างเต็มศักยภาพผ่านกิจกรรมต่อไปนี้
1. พูดคุย เล่านิทาน อ่านหนังสือ
- เสริมสร้างพัฒนาการภาษา คำศัพท์ และจินตนาการ เป็นช่วงเวลาแห่งความผูกพันที่สร้างรากฐานสมองและอารมณ์
- ช่วยพัฒนาทักษะภาษาดี จินตนาการกว้างไกล สมาธิดี สร้างความผูกพัน
2. เล่นกับลูก (เล่นอิสระและเล่นตามกฎ)
- การเล่นคืองานของเด็ก เป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาทักษะทุกด้านไปพร้อมกัน
- ช่วยพัฒนาทักษะสังคม เช่น การแบ่งปัน การแก้ปัญหา
- ช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ เช่น จัดการความรู้สึก
- ช่วยพัฒนาด้านร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ
- สติปัญญา เช่น การคิดวิเคราะห์
3. พาทำกิจกรรมกลางแจ้ง
- พาลูกออกไปสัมผัสโลกกว้าง เคลื่อนไหวร่างกาย พัฒนาประสาทสัมผัส
- ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่
- ช่วยให้สุขภาพจิตดี เรียนรู้ธรรมชาติ และการเข้าสังคม
4. ให้ช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆ น้อยๆ
- ฝึกทักษะชีวิต และความรับผิดชอบตั้งแต่เยาว์วัย
- ช่วยให้ลูกมีทักษะช่วยเหลือตนเอง มีความรับผิดชอบ ภูมิใจในตนเอง และฝึกการวางแผน
theAsianparent ขอขอบคุณเรื่องราวจากคุณแม่ Aor Sirintip และหวังว่าเรื่องราวของคุณแม่จะมีประโยชน์ต่อคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังเลี้ยงลูกผิดวิธี ปล่อยลูกอยู่กับทีวีและมือถือ หากพบว่าลูกมีพัฒนาการล่าช้า ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ คือสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ผลกระทบจากสมาร์ทโฟน เด็กรู้สึก “ด้อยค่า” และ “อิจฉา” กันมากขึ้น
ข้อตกลงการใช้โทรศัพท์มือถือ ของลูก กฎแบบไหนให้เสรี และมีความปลอดภัย
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!