คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยไหมคะว่าวิธีการเลี้ยงลูกของคุณกำลังส่งผลกระทบต่อลูกอย่างไร? การเป็น พ่อแม่ที่ล้มเหลว ไม่ได้หมายถึงความตั้งใจที่ไม่ดี แต่อาจเป็นผลจากลักษณะและพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อลูก theAsianparent ขอเป็นกระจกสะท้อน 10 สัญญาณของ พ่อแม่ที่ล้มเหลว โดยอ้างอิงหลักจิตวิทยาและงานวิจัย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้สำรวจและทบทวนบทบาทของตนเองก่อนสาย
10 สัญญาณเตือน พ่อแม่ที่ล้มเหลว สำรวจตัวเองก่อนสาย!
-
คุณมองข้ามความรู้สึกของลูก
เมื่อลูกบ่นเรื่องเล็กน้อยแล้วคุณบอกว่า “แค่นี้เองทำไมต้องร้องไห้” หรือ “หยุดงอแงได้แล้ว” นั่นคือสัญญาณของการมองข้ามความรู้สึกของลูก
ผลกระทบต่อลูก: ลูกจะเรียนรู้ที่จะเก็บกดความรู้สึก ไม่กล้าแสดงออก ขาดทักษะจัดการอารมณ์ และอาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวล หรือ ซึมเศร้าในอนาคตได้
ทฤษฎีความผูกพัน ของ John Bowlby และ Mary Ainsworth ชี้ว่าการตอบสนองทางอารมณ์ที่ไม่เพียงพอจากพ่อแม่ ทำให้เด็กมีความผูกพันที่ไม่มั่นคง ส่งผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม นอกจากนี้ การมองข้ามความรู้สึก ยังสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่อีกด้วย
-
คุณควบคุมลูกมากเกินไป แทบไม่ให้มีพื้นที่เป็นของตัวเอง
คุณอาจคิดว่าการกำหนดทุกอย่างในชีวิตลูก เลี้ยงดูแบบตีกรอบตั้งแต่เรื่องเรียน เพื่อน การแต่งตัว หรือแม้แต่ความคิด เป็นการแสดงความรักและห่วงใย แต่ถ้าคุณไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้เลือก ตัดสินใจ หรือแม้แต่ลองผิดลองถูกเลย นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังควบคุมลูกมากเกินไป
ผลกระทบต่อลูก: การถูกควบคุมมากเกินไปทำให้ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดเอง ทำเอง หรือแม้แต่ตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ด้วยตัวเอง สิ่งนี้จะส่งผลให้ลูกขาดทักษะการแก้ปัญหาที่จำเป็น และเมื่อโตขึ้นอาจกลายเป็นคนที่ไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ หรือในทางกลับกันก็อาจกลายเป็นคนที่มีพฤติกรรมต่อต้านได้
ผลการศึกษาเกี่ยวกับ รูปแบบการเลี้ยงดูแบบเผด็จการ ของนักจิตวิทยาชื่อดัง Diana Baumrind แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยการควบคุมที่เข้มงวด และไม่มีการให้เหตุผลที่ดี มักจะขาดความคิดริเริ่ม ความเป็นตัวของตัวเอง และความสามารถในการตัดสินใจอย่างอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ค่ะ

-
คุณใช้คำพูดที่บั่นทอนจิตใจหรือตำหนิลูกบ่อยครั้ง
คำพูดมีพลังมากกว่าที่เราคิดการที่คุณตำหนิ เปรียบเทียบ หรือใช้คำพูดรุนแรงกับลูกบ่อยๆ เช่น “ไม่ได้เรื่องลเย” “ดูพี่สิ เก่งกว่าตั้งเยอะ” หรือ “เป็นตัวปัญหาจริง ๆ” เหล่านี้คือสัญญาณร้ายที่กำลังบั่นทอนจิตใจลูก
ผลกระทบต่อลูก: คำพูดเหล่านี้จะทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของลูก ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า ไม่เป็นที่รัก และอาจส่งผลให้ลูกมีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ก้าวร้าวหรือพัฒนาไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตอย่างภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวลได้
งานวิจัยด้าน การใช้คำพูดรุนแรงในวัยเด็กได้ชี้ชัดเจนว่า การที่เด็กต้องเผชิญกับคำพูดที่ทำร้ายจิตใจซ้ำๆ มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิตและพฤติกรรมต่อต้านสังคมในระยะยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ
-
คุณปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจความต้องการพื้นฐานของลูก
บางครั้งพ่อแม่อาจจะยุ่งมากจนไม่มีเวลา หรือคิดว่าลูกดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่สนใจเรื่องการเรียน สุขภาพ ความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งไม่รู้ว่าลูกไปทำอะไรที่ไหน ปล่อยให้ลูกต้องดูแลตัวเองเกินวัย นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังปล่อยปละละเลยลูกโดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบต่อลูก: เมื่อลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ใส่ใจความต้องการพื้นฐาน ลูกจะขาดความรู้สึกปลอดภัย รู้สึกไม่เป็นที่รัก และอาจไม่มีทักษะการควบคุมตัวเองที่ดีพอ นอกจากนี้ ลูกยังมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือออกไปแสวงหาความสนใจและการยอมรับจากแหล่งภายนอกที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นค่ะ
งานวิจัยยืนยัน การเลี้ยงดูแบบปล่อยปละละเลย ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง โดยชี้ให้เห็นว่าการขาดการดูแลเอาใจใส่ขั้นพื้นฐานส่งผลเสียต่อพัฒนาการรอบด้านของเด็กอย่างรุนแรง และที่สำคัญคือการถูกทอดทิ้ง เป็นหนึ่งในประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก ที่มีข้อมูลสถิติยืนยันว่าเชื่อมโยงกับการเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิตและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในระยะยาวได้

-
คุณเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์
คุณอาจไม่รู้ตัวว่าพฤติกรรมที่คุณแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมก้าวร้าว การใช้คำหยาบคาย การจัดการอารมณ์ที่ไม่ดี การมีพฤติกรรมเสพติด หรือแม้แต่การโกหกต่อหน้าลูก กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เพราะลูกน้อยกำลังซึมซับและเรียนรู้จากคุณอยู่ตลอดเวลา นี่คือสัญญาณว่าคุณกำลังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูก
ผลกระทบต่อลูก: เด็กๆ เรียนรู้จากการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่ใกล้ตัวเป็นหลัก เมื่อพวกเขาเห็นพฤติกรรมเหล่านั้นบ่อยๆ ลูกอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ ซึ่งจะทำให้เขามีปัญหาในการเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ และการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมค่ะ
เรื่องนี้สอดคล้องกับ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ของ Albert Bandura นักจิตวิทยาชื่อดัง ที่เน้นย้ำว่าเด็กๆ เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆ ผ่านการสังเกตและเลียนแบบผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา ดังนั้น พฤติกรรมของคุณจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาพฤติกรรมและบุคลิกภาพของลูกในอนาคต
-
คุณตั้งความหวังกับลูกสูงเกินจริง ไม่ยืดหยุ่น
พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดี แต่ถ้าคุณคาดหวังให้ลูกสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง ไม่ยอมรับความผิดพลาดของลูก และกดดันให้ลูกต้องทำตามความต้องการของคุณเท่านั้น นี่คือสัญญาณว่าคุณกำลังตั้งความหวังกับลูกสูงเกินจริงและไม่ยืดหยุ่น
ผลกระทบต่อลูก: การถูกกดดันแบบนี้ทำให้ลูกรู้สึกเครียด กลัวความล้มเหลว และขาดความสุขในการเรียนรู้ เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็รู้สึกไม่ถึงมาตรฐานที่คุณตั้งไว้ สิ่งนี้อาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิตที่รุนแรงขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือแม้แต่ความผิดปกติในการกิน
มีงานวิจัยจำนวนมากที่เชื่อมโยง การเป็นคนสมบูรณ์แบบในเด็กและวัยรุ่นกับการตั้งความคาดหวังที่สูงเกินไปจากพ่อแม่ โดยพบว่าเด็กที่ถูกคาดหวังให้สมบูรณ์แบบมากๆ มักจะมีความกดดันทางจิตใจสูง มีความกังวลเรื่องความล้มเหลว และเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าเด็กทั่วไป
-
คุณขาดการสื่อสารแบบสองทางกับลูก
คุณมักเป็นฝ่ายพูด สั่งสอน หรือให้คำเทศนาลูกอยู่ตลอด แต่ไม่ค่อยได้ฟังความคิดเห็น ความรู้สึก หรือข้อเสนอแนะของลูกเลย หรือบางทีคุณอาจจะมีการพูดคุยกับลูกน้อยมากๆ นี่คือสัญญาณว่าคุณกำลังขาดการสื่อสารแบบสองทางกับลูก
ผลกระทบต่อลูก: เมื่อลูกรู้สึกไม่ถูกรับฟัง ไม่ถูกเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ลูกจะค่อยๆ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าบอกความรู้สึก ทำให้ขาดทักษะการสื่อสารที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิต และที่สำคัญคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกอาจจะห่างเหินกันไปเรื่อยๆ เพราะลูกไม่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญพอที่จะได้รับการรับฟัง
งานวิจัยด้าน การสื่อสารระหว่างพ่อแม่และลูก เน้นย้ำถึงความสำคัญอย่างยิ่งของการสื่อสารแบบเปิดใจและเชิงบวก การสื่อสารที่มีคุณภาพไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการรับฟังด้วยความเข้าใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรง ความไว้วางใจ และส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคมและอารมณ์ที่ดีของเด็ก

-
คุณเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นอยู่เสมอ
พ่อแม่หลายคนอาจเผลอพูดเปรียบเทียบกับพี่น้อง เพื่อน หรือคนอื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในแง่ลบ คืออีกหนึ่งสัญญาณที่ทำร้ายลูก
ผลกระทบต่อลูก: การถูกเปรียบเทียบจะทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของลูกอย่างรุนแรง ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า ไม่เก่งเท่าคนอื่น และอาจเกิดความรู้สึกอิจฉาคนที่ถูกนำมาเปรียบเทียบด้วย นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่ปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะลูกอาจมองคนอื่นเป็นคู่แข่งมากกว่าเพื่อน
การศึกษาทางจิตวิทยาหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า การเปรียบเทียบเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในตัวเอง และลดคุณค่าในตนเอง การที่เด็กเติบโตมาโดยรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอหรือไม่เป็นที่ยอมรับเท่าคนอื่น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตและพัฒนาการทางสังคมในระยะยาวของพวกเขาค่ะ
-
คุณไม่ให้พื้นที่ลูกในการเผชิญกับความยากลำบากหรือความผิดหวัง
เวลาเห็นลูกเผชิญปัญหา หรือกำลังจะผิดหวัง คุณพ่อคุณแม่มักจะเข้าไปช่วยเหลือทันที แม้จะทำไปด้วยความรัก แต่ถ้าคุณไม่ปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูก หรือเรียนรู้จากความล้มเหลวเลย นั่นคือสัญญาณว่าคุณกำลังไม่ให้พื้นที่ลูกในการเผชิญกับความยากลำบากหรือความผิดหวัง
ผลกระทบต่อลูก: การช่วยเหลือลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกขาดความสามารถในการเผชิญปัญหา (Resilience) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการล้มแล้วลุกได้เอง ลูกจะขาดทักษะการแก้ปัญหา ไม่รู้จักวิธีรับมือกับความผิดหวัง และอาจไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความท้าทายในชีวิตได้ดีเมื่อเติบโตขึ้นค่ะ
งานวิจัยยืนยัน แนวคิดเรื่อง “Overparenting” หรือที่บางคนเรียกว่า “Helicopter Parenting” ซึ่งหมายถึงการที่พ่อแม่คอยวนเวียนอยู่รอบตัวลูกและเข้ามาแทรกแซงทุกอย่าง ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวาง โดยงานวิจัยพบว่าการเลี้ยงดูในลักษณะนี้ส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านความสามารถในการปรับตัวและความเป็นอิสระของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นได้อย่างเต็มที่ค่ะ
-
คุณมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ คาดเดาไม่ได้
บางทีคุณก็ใจดีกับลูกมาก แต่ไม่ทันไรก็กลับโกรธรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน การที่คุณมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ คาดเดาไม่ได้ แบบนี้คือหนึ่งในสัญญาณสำคัญที่ส่งผลเสียต่อลูกอย่างมาก
ผลกระทบต่อลูก: เมื่ออารมณ์ของพ่อแม่ไม่สม่ำเสมอ ลูกจะรู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัย ต้องคอยระแวงอยู่ตลอดเวลาว่าอารมณ์ของคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ สิ่งนี้ทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลสูง และยังส่งผลต่อความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและไว้วางใจกับผู้อื่นในอนาคตด้วยค่ะ
งานวิจัยด้านการเลี้ยงดูที่ไม่สม่ำเสมอส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอารมณ์และพฤติกรรมของเด็ก เด็กที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้ มักจะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ของตัวเองและปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ยากกว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูที่สม่ำเสมอและมั่นคง
ไม่มีพ่อแม่คนไหนสมบูรณ์แบบ หากสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีข้อไหนที่คุณกำลังเป็นอยู่ นี่คือโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง ไม่พาตัวเองไปสู่ พ่อแม่ที่ล้มเหลว พูดคุยกับลูกให้มากขึ้น เรียนรู้ที่จะขอโทษเมื่อทำผิด และการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่คุณทำในวันนี้ จะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับของลูกคุณในวันหน้า
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
7 วิธีทำให้ลูกโชคดีที่มีเราเป็นพ่อแม่
ลูกเกิดมาต้องเลี้ยงพ่อแม่จริงหรือ? ความกตัญญู ต้องมาจากใจ ไม่ใช่แรงบังคับ
ลูกชอบตีตัวเอง สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ต้องรู้ และวิธีหยุดอย่างปลอดภัย
ที่มา:
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!