อาการเลือดออกขณะตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่หลายท่าน ซึ่งอาจมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป บางครั้งอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย แต่ในบางกรณีก็อาจมีเพียงเลือดออกโดยไม่มีอาการปวด theAsianparent จะมาไขข้อสงสัยว่าทำไม ตั้งครรภ์ มีเลือกออก ไม่ปวดท้อง เพื่อให้คุณแม่มีความเข้าใจและสามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องขณะตั้งครรภ์ค่ะ
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง เพราะอะไร
การ ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง อาจมีสาเหตุมาจากในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนจะฝังตัวในผนังมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดเลือดออกเล็กน้อย หรือที่เรียกว่า “เลือดล้างหน้าเด็ก” มักเกิดขึ้นในช่วง 10-14 วันหลังการปฏิสนธิ เลือดที่ออกมามักมีปริมาณน้อย สีชมพูอ่อน หรือสีน้ำตาล และมักจะหยุดเองภายใน 1-2 วัน ซึ่งการสังเกตว่าเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก หรือเลือดประจำเดือนจะมีจุดสังเกตได้ง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
- เลือดล้างหน้าเด็ก จะออกมาในปริมาณน้อย มีสีจางๆ อาจมีสีชมพูอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล และมักเกิดขึ้นเพียง 1-2 วัน
- เลือดประจำเดือน จะออกมาในปริมาณมาก มีสีแดงสดหรือแดงเข้ม และเกิดขึ้นนานประมาณ 3-7 วัน
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง ลักษณะอาการของเลือดล้างหน้าเด็ก สัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ที่คุณควรรู้
เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) คือ เลือดที่ออกมาหลังจากตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูก ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการมีประจำเดือน ทำให้ผู้หญิงหลายคนสับสนและไม่แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่ การสังเกตลักษณะอาการของเลือดล้างหน้าเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณแม่สามารถแยกแยะความแตกต่างจากประจำเดือนได้
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง ลักษณะเฉพาะของเลือดล้างหน้าเด็ก
- ปริมาณเลือด: เลือดล้างหน้าเด็กจะมีปริมาณน้อยมาก มักเป็นเพียงหยดเล็กๆ หรือเป็นแค่รอยเปื้อน ไม่มากเท่าประจำเดือน จนแทบจะไม่ต้องใช้ผ้าอนามัยแบบเต็มรูปแบบ
- สีของเลือด: สีของเลือดอาจแตกต่างกันไป ตั้งแต่สีชมพูอ่อน สีชมพูจางๆ ไปจนถึงสีน้ำตาล สีคล้ำ หรือสีสนิม ซึ่งเป็นผลมาจากเลือดที่ออกมาในปริมาณน้อยและใช้เวลาเดินทางออกมาจากมดลูกนานกว่า
- ระยะเวลา: เลือดล้างหน้าเด็กมักจะออกเพียง 1-2 วัน หรืออาจเป็นแค่เพียงวันเดียวแล้วหายไป ซึ่งสั้นกว่าระยะเวลาของประจำเดือนปกติ
- อาการปวดท้อง: โดยทั่วไปแล้ว เลือดล้างหน้าเด็กจะไม่ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงเหมือนการปวดประจำเดือน แต่อาจมีอาการปวดท้องน้อยเล็กน้อย รู้สึกหน่วงๆ บริเวณท้องน้อยได้ หรืออาจไม่มีอาการปวดท้องเลยก็ได้เช่นกันค่ะ
- อาการร่วมอื่นๆ: นอกจากเลือดออกแล้ว อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง
- วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ตาลาย
- คลื่นไส้ รู้สึกไม่สบายท้อง อยากอาเจียน (อาการแพ้ท้องในช่วงแรก)
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย อารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว
- คัดตึงเต้านมเล็กน้อย: รู้สึกเจ็บหรือตึงบริเวณเต้านม
การมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์โดยไม่มีอาการปวดท้อง อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตราย เช่น การฝังตัวของตัวอ่อน แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ ดังนั้น การปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ที่อาจเป็นอันตรายกับคุณแม่และทารกในครรภ์
โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 20% อาจพบเลือดออกเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรก ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่อันตราย อาจเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก หรือเลือดที่ออกหลังมีเพศสัมพันธ์ แต่หากมีเลือดออกในช่วงไตรมาสที่สองและสาม หรือมีลักษณะดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- เลือดออกสีแดงสด บ่งบอกถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายในมดลูก เช่น การฝังตัวของตัวอ่อนไม่แข็งแรง หรือภาวะแท้งคุกคาม
- เลือดออกปริมาณมาก ไม่ว่าจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นเรื่องฉุกเฉิน
- เลือดออกร่วมกับอาการปวดท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปวดท้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจเกิดจากความผิดปกติของมดลูก ตัวอ่อน หรือการติดเชื้อ
- เลือดออกร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น มีเนื้อเยื่อถูกขับออกมาทางช่องคลอด เวียนศีรษะ หมดสติ มีไข้สูง หรือลูกไม่ดิ้น
เลือดออกขณะตั้งครรภ์อาจเกิดจากหลายสาเหตุ
- ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened Abortion) คือการมีเลือดออกทางช่องคลอดขณะที่ปากมดลูกยังปิด อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย หากไม่ได้รับการดูแล อาจนำไปสู่การแท้งบุตรได้
- ความผิดปกติของรก เช่น รกเกาะต่ำ รกคลุมปากมดลูก หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด
- การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อในช่องคลอด หรือการติดเชื้อในมดลูก
- การมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการตั้งครรภ์ ในบางครั้งก็อาจทำให้มีเลือดออกเล็กน้อยได้
- ความผิดปกติอื่นๆ เช่น เนื้องอกในมดลูก หรือปากมดลูกอักเสบ
อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ควรไปพบแพทย์ทันที
การตั้งครรภ์เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของผู้หญิง ซึ่งอาจมาพร้อมกับอาการผิดปกติบางอย่าง คุณแม่ตั้งครรภ์ควรสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด และรีบไปโรงพยาบาลหากพบอาการดังต่อไปนี้ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ
1. เลือดออกจากช่องคลอด
- ไตรมาสแรก: เลือดออกในช่วงนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะแท้งบุตร หรือท้องนอกมดลูก เป็นต้น
- ไตรมาสที่ 2 และ 3: เลือดออกอาจเกิดจากรกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งเป็นภาวะอันตรายทั้งต่อคุณแม่และทารก หรืออาจเป็นสัญญาณเตือนของการคลอดบุตร
2. อาการปวดท้องน้อย
การปวดท้องน้อยเล็กน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ เนื่องจากการขยายตัวของมดลูก แต่อาการปวดควรจะทุเลาลงเมื่อพักผ่อน หากมีอาการปวดมาก ควรรีบพบแพทย์
3. มีไข้สูง
คุณแม่ที่มีไข้สูง ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อและรับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ค่ะ
4. ลูกดิ้นน้อยลง หรือไม่ดิ้น
การนับลูกดิ้นมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะหลังอายุครรภ์ 5 เดือน คุณแม่ควรนับลูกดิ้นตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าลูกดิ้นน้อยลงหรือหยุดดิ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที
- นับการกระแทก: การเตะ ต่อย หรือขยับตัว ให้นับเป็นการดิ้น 1 ครั้ง เช่น ลูกกระแทก 1 ครั้ง นับเป็น 1 ลูกดิ้น หากกระแทกอีกครั้งให้นับเป็น 2 ลูกดิ้น
- ระยะเวลาในการนับ: ใน 1 ชั่วโมง ลูกควรดิ้นมากกว่า 4 ครั้งขึ้นไป
- หากลูกดิ้นน้อยกว่าปกติ: ในชั่วโมงแรก หากลูกดิ้นไม่ถึง 4 ครั้ง ให้คุณแม่เริ่มนับต่อในชั่วโมงที่ 2 หากชั่วโมงที่ 2 ลูกยังดิ้นไม่ถึง 4 ครั้ง ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที
5. อาการเจ็บครรภ์คลอด
อาการเจ็บครรภ์คลอดจริง (true labor pain) มักมีอาการท้องแข็ง มดลูกหดรัดตัว ปวดร้าวไปหลังหรือหน่วงลงช่องคลอดทวารหนัก เจ็บสม่ำเสมอ ความถี่และความแรงของการหดรัดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และไม่ทุเลาลง หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ อาจเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้
6. น้ำเดิน หรือถุงน้ำคร่ำแตก
การมีน้ำใสๆ ไหลออกจากช่องคลอดคล้ายปัสสาวะราดแต่กลั้นไม่ได้ เป็นสัญญาณของการคลอดบุตร
7. ตัวบวม น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว จุกแน่นลิ้นปี่ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะมาก
อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะครรภ์เป็นพิษ (Pre-ecclampsia) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารก
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและสำคัญในชีวิตของผู้หญิง การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของทารก การตั้งครรภ์คุณภาพไม่ใช่เพียงแค่การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง แต่ยังรวมถึงสุขภาพจิตใจที่ดีและความพร้อมในการเป็นคุณแม่ การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่และลูกน้อยมีสุขภาพที่ดีและมีความสุข อย่างไรก็ตามหากขณะ ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง หรือมีอาการปวดท้องร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุโดยละเอียด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ตกขาวสีเหลือง ในช่วง “ตั้งครรภ์” อันตรายไหม? แก้ไขยังไงดี
ตั้งครรภ์ เบ่งอุจจาระอันตรายไหม
ฟันผุช่วงตั้งครรภ์ มีผลต่อลูกในท้องไหม?
อ้างอิง
สัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ที่ควรรู้ เลือดล้างหน้าเด็กสีอะไร โรงพยาบาลพีเอ็มจี https://pmghospital.in.th/implantation-bleeding/
ที่มาของเลือดออกทางช่องคลอดของคุณแม่ตั้งครรภ์ โรงพยาบาลพญาไท https://www.phyathai.com/th/article/vaginal-bleeding-during-pregnancy-ptp?srsltid=AfmBOoqumyTcGIXeN7D_-VY-if4WNrKBy73o-Oc92qEOWv-YGNzlY_MK
8 อาการสำคัญ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมาโรงพยาบาล โรงพยาบาลสมิติเวช https://www.samitivejchonburi.com/th/article/69/8-important-symptoms-that-expectant-moth.html
นับลูกดิ้นอย่างไร…ให้รู้ว่าทารกปลอดภัยนะ โรงพยาบาลพญาไท https://www.phyathai.com/th/article/2899-นับลูกดิ้นอย่างไร___ให้ร
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!