เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว แม่ๆ รีบดูแลลูกด่วน!

undefined

ช่วงนี้อาศเดี๋ยวร้อยเดี๋ยวหนาว ทำให้หนูๆ บางคนปรับตัวไม่ทัน จนนำไปสู่อาการเจ็บป่วย เมื่อลมหนาวมาเยือนจึงอยากจะ เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว ให้แม่ๆ ได้เตรียมรับมือ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกป่วยได้

เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว แม่ๆ รีบดูแลลูกด่วน!

ลมหนาวมาทั้งที อย่ามัวแต่ดีใจจนเพลินจึงอยากจะ เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว ให้แม่ๆ ได้ดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด หาเสื้อผ้าอุ่นๆ ให้ทั้งลูกน้อยและตัวคุณพ่อคุณแม่เอง เดี๋ยวจะพากันป่วยทั้งครอบครัวแล้วจะแน่เอาได้น่ะ สำหรับโรคที่มักมากับอากาศหนาว ๆ มีดังนี้

 

1. ไข้หวัด

โรคนี้พบบ่อยมากทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่เด็กนั้นจะป่วยง่ายก็เพราะภูมิต้านทานที่มีน้อยกว่านั่นเองซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วหนูน้อยเป็นหวัดได้ถึงปีล่ะ 6-8 ครั้งเลยทีเดียว ดังนั้น ไม่แปลกที่เบบี๋จะเป็นหวัดบ่อยมากๆ โดยเฉพาะหน้าหนาวและหน้าฝน แม่ๆ ต้องดูแลลูกน้อยให้เป็นพิเศษ ส่วนอาการจะมีทั้งเป็นไข้ ตัวร้อน คัดจมูก น้ำมูกไหล และบางครั้งมีอาการไอร่วมด้วย

วิธีการป้องกัน: ต้องพยายามล้างมือลูกน้อยให้สะอาด ดื่มน่ำอุ่นเสมอ นอนเยอะๆ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และอย่าลืมพาหนูน้อยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

 

2. ไข้หวัดใหญ่

สำหรับโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดธรรมดา บางครั้งคุณแม่อาจจะดูไม่ออกจำเป็นต้องพึ่งคุหมอ ซึ่งไข้หวัดใหญ่จะมีอาการไข้สูงนานกว่า 3-4 วัน ต่างจากไข้หวัดธรรมดาที่มีไข้ต่ำ เพียง 1-2 วัน ถ้าทานยาลดไข้ก็หาย มีอาการปวดหัวมากกว่า ปวดเมื่อยตามตัวมากๆ รู้สึกอ่อนเพลียนานกว่า 2 วัน ไอหนักมีเสมหะ น้ำมูกข้น เหนียว อาจมีอาการเจ็บคอบ้าง ถ้าคุณแม่สังเกตอาการน้องแล้วพบว่ามีไข้สูงไม่ยอมลด ควรรีบพาไปหาหมอทันที

วิธีการป้องกัน: สามารถฉีดยาป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเด็กได้ และควรพาลูกน้อยไปรับวัคซีนประจำปีอยู่เสมอ

 

เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว

 

3. ปอดปวม

โรคปอดบวมเกิดจากเชื้อโรคต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา พบมากในเด็กกับผู้สูงอายุ และหลังจากเป็นไข้หวัดเรื้อรังที่รุนแรง โรคหลอดลมอักเสบ และโรคหอบหืด สำหรับอาการคือ จะไอ เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว ถ้าเด็กที่เป็นหนัก ให้คุณแม่สังเกตดูว่ามีอาการบุ๋มเข้าไปบริเวณใต้ชายโครงขณะหายใจเข้าหรือไม่ พร้อมๆ กับดูที่จมูกว่าบานหรือเปล่า บาคนอาจมีไข้ แต่ถ้าคุณแม่เห็นว่าริมฝีปากเริ่มเขียวให้พาไปพบคุณหมอด่วน นั่นแสดงว่าน้องย่ำแย่กำลังจะขาดออกซิเจนแล้ว

วิธีการป้องกัน: พยายามสวมเสื้อผ้าอุ่นๆ ให้ลูกน้อย ไม่ไปยังสานที่ที่แออัด และต้องล้างทำความสะอาดมือให้สะอาด

 

4. โรคหัด

โรคหัดออกผื่น จะพบมากในเด็กที่มีอายุ 1-6 ปี เป็นโรคที่พึงระวังอาจทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับคนที่เคยเป็นแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก อาการนั้นคล้ายหวัดธรรมดา มีการไอ จาม ติดต่อกันง่าย  เพราะเชื้อมันจะกระจายอยู่ในละอองของน้ำมูก เสมหะ และน้ำลาย ตาจะแดงแฉะ ปากและจมูกจะแดงหลังมีไข้ 3-4 วัน และจะเริ่มมีผื่นจากหลังหู

วิธีการป้องกัน: สามารถพาลูกไปฉีดวัคซีนได้ โดยควรฉีดตามช่วงอายุ คือ 9-12 เดือน เป็นเข็มแรก และจากนั้นมาฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุครบ 6 ขวบ คุณแม่อย่าลืมเช็คน่ะว่าลูกของเราได้รับวัคซีนตัวนี้แล้วหรือยัง

 

เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว

 

5. หัดเยอรมัน

สำหรับโรคนี้จะทำให้มีไข้ต่ำ ถึงปานกลาง มีผื่นเล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว โดยเริ่มจากบริเวณใบหน้า ส่วนที่เป็นหน้าผาก รอบปาก และใบหู หลังจากนั้นจะเริ่มรุกลามไปยังคอ ลำตัว และแขน ซึ่งอาจจะทำให้ลูกคันได้

วิธีการป้องกัน: พาลูกไปฉีดวัคซีน และควรฉีดครั้งแรกเมื่อมีอายุ 9-12 เดือน จากนั้นฉีดกระตุ้นอีกครั้งตอน 6 ขวบ เช่นเดียวกับโรคหัด

 

6. อีสุกอีใส

เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบมากในเด็ก อายุระหว่าง 5-9 ปี ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายเพราะเป็นโรคติดต่อ จริงๆ แล้วโรคนี้ติดต่อได้ทั้งปี และเด็กๆ มักจะติดมาจากโรงเรียน ซึ่งจะติดต่อจากการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง มือ สิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ รวมถึงละอองน้ำลาย การจาม ดังนั้น หากพบว่าใครเป็นโรคอีสุกอีใส ควรอยู่ห่างๆ จะดีกว่า

วิธีการป้องกัน: ง่ายที่สุดคือ การฉีดวัคซีน หรือพยายามหลีกเลี่ยงไม่อยู่ใกล้ และไม่สัมผัสกับคนป่วย แต่ถ้าหนูน้อยเคยเป็นโรคนี้แล้วก็สบายใจได้ เพราะเขาจะมีภูมิคุ้มกันแล้ว

 

เตือนโรคร้ายที่มากับหน้าหนาว

 

7. ท้องร่วง

ท้องร่วง สามารถพบได้บ่อยๆ อยู่แล้ว คุณแม่ต้องดูแลเรื่องอาการการกินของน้อง สำหรับอาการนั้นจะทำให้หนูน้อยถ่ายเป็นน้ำพร้อมกับมีไข้ และอาเจียน ก้นจะแดงเป็นพิเศษ คุณแม่อาจสังเกตได้จากตรงนี้ได้

วิธีการป้องกัน: แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของอาหาร นมและน้ำ คุณแม่ต้องทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ลูกให้สะอาด พยายามไม่ให้ลูกเอาของเล่นเข้าปาก และไม่พาน้องไปอยู่ในที่มีคนเยอะๆ

 

ที่มาtonkit360 รูป: jcdr

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:

รับมือ!!อาการคออักเสบในเด็กให้ถูกวิธี

กันไว้ดีกว่าแก้!!!ใช้ยาอย่างไรให้ปลอดภัยสำหรับเด็ก

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!