รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

undefined

ชวนดู คำที่คนไทยมักเข้าใจผิด ภาษาอังกฤษ

ณ ปัจจุบันภาษาอังกฤษจัดว่าเป็นอีกหนึ่งภาษาหลักที่เราทุกคนต้องใช้กันอย่างคล่อง ไม่แตกต่างจากภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่ นั่นเป็นเพราะเราจำเป็นจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มีภาษาอังกฤษหลายคำที่คนไทยมักจะใช้กันผิดวิธี หรือเข้าใจความหมายผิดเพี้ยนไป เราจึง รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด คำที่คนไทยเข้าใจผิดภาษาอังกฤษ มาให้เราตรวจดูว่าคำได้บ้างที่เราใช้ผิดกันบ้าง

 

รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

1. Check – Bill

คำนี้เรามักจะใช้กันบ่อยมาก แต่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจเฉพาะคนไทยเราเองเท่านั้น นั่นเป็นเพราะโดยปกติเราจะใช้คำสองคำนี้แยกออกจากกัน เช่น Check, Please. หรือ Bill, Please. เป็นการเรียกพนักงานมาเก็บบิล หรือมาคิดเงินนั่นเอง

2. Stop your mouth

หุบปากไปเลยนะเธอ เดี๋ยวจ้า คำนี้ฝรั่งคงงงเวลาได้ยิน แล้วมานึกว่าปากฉันไม่ได้วิ่งไปไหน ทำไมต้องให้ปากฉันจอด หรือหยุด? หากอยากบอกให้เขาหยุดพูด ก็ควรที่จะพูดว่า Please be quite แต่ถ้าจะพูดแบบรุนแรงขึ้นก็จะพูดได้ว่า Shut your mouth หรือ Shut up

3. In Trend

คำศัพท์สุดฮิต และมักจะติดปากคนไทยหลาย ๆ คน ว่าชุดนี้ตอนนี้กำลัง in trend หรือหมายถึงทันสมัย สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า It is in trend ซึ่งหากต้องการสื่อความหมายว่าทันสมัย ควรใช้คำว่า Trendy หรือคำว่า fashionable ก็ได้ค่ะ

4. Fitness

Fitness ในความหมายที่ฝรั่งหรือชาวต่างชาติทั่วไปเข้าใจคือ แปลว่า สมรรถภาพของร่างกาย ไม่ใช่สถานที่ออกกำลังกายอย่างที่เราเข้าใจ และถ้าจะสื่อความหมายของสถานที่ต้องใช้คำว่า “Fitness center” หรือใช้คำว่า “gym” เช่น I’m going to the gym. จะดีกว่า

5. No have

ไม่มีค่ะ No have…. No No No No คำนี้ไม่มีอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์นะคะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณอยากจะบอกว่า ไม่มี จะต้องใช้คำว่า don’t have…. หรือว่า have no….. เช่น I don’t have any money และ I have no money ซึ่งหมายถึง ฉันไม่มีเงิน

6. Asia

เริ่มกันที่คำศัพท์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่เป็นประจำเวลาที่ฝรั่งมาถามว่าคุณเป็นคนอะไร? แล้วอยากจะตอบเขาไปว่า “ฉันเป็นคนเอเชีย” หรือ “Asian” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “เอ-แฉ็น” ส่วนคำว่า “Asia” ที่แปลว่า “ทวีปเอเชีย” คนไทยส่วนใหญ่จะออกเสียงตรงตัวว่า “เอ-เซีย” บ้าง “อา-เซีย” บ้าง แต่ความจริงแล้วศัพท์็คำนี้จะต้องออกเสียงว่า “เอ-ฉะ” ดังนั้น “south east asia” หรือทวีปเอเชียอาคเนย์ ก็ต้องออกเสียงเป็น “เซาท์-อีส-เอ-ฉะ” เช่นเดียวกัน

7. Where are you come from?

ประโยคแรก ๆ ที่เรามักจะถามเค้านั่นก็คือคุณมาจากที่ไหน ซึ่งบอกเลยว่าเป็นประโยคง่าย ๆ ที่มักใช้กันผิดบ่อยมาก หลาย ๆ คนจะชอบใช้ว่า Where are you come from? ซึ่งมันไม่ถูกต้องนะทุกคนเวลาจะถามฝรั่งว่าเค้ามาจากที่ไหน สามารถถามได้ 2 แบบ นั่นก็คือ Where are you from ? Where do you come from? นั่นเองค่ะ อย่าเผลอนำมารวมกันนะคะ ใครที่ใช้ผิดเป็นประจำก็เปลี่ยนได้แล้วน้า

8. Record

อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ “เร็ค-คอร์ด” เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า “รี-คอร์ด” เช่น I’ll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า “recorder” อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์

9. Back

เขามีแบ็ค (back) ดี “He has a good back.” ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเขา เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ “a backup” ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้

10.Soundtrack

เมื่อเราต้องการดูหนังภาคภาษาอังกฤษ ส่วนใหญเราก็จะใช้คำว่าดูหนัง soundtrack กันจนติดปากใช่ไหมล่ะคะ แต่ในภาษาอังกฤษไม่มีคำว่าหนัง soundtrack เด้อ! เพราะ soundtrack ในภาษาอังกฤษนั่นจะแปลว่าดนตรี หรือเพลงประกอบภาพยนตร์เฉย ๆ ต่างหาก จะไม่ได้แปลว่าหนังภาคภาษาอังกฤษที่มีคำบรรยายภาษาไทยแต่อย่างใด แต่ถ้าหากต้องการพูดว่าจะดูหนังภาคภาษาอังกฤษที่มีคำบรรยายภาษาไทยควรพูดว่า “I want to watch an English film with Thai subtitles” นั่นเองค่ะ

11. Tuition

สำหรับนักเรียนนักศึกษาจะต้องเจอศัพท์คำนี้อยู่เป็นประจำ “Tuition” ที่แปลว่า “ค่าเทอม ค่าเล่าเรียน” และเชื่อได้เลยว่ามีอีกหลายคนที่ออกเสียงคำศัพท์คำนี้ผิดไปอย่างมหันต์ว่า “ทุย-ชั่น หรือ ตุ๋ย-ฉัน” งานนี้ตัวใครตัวมัน ฝรั่งมีงง คนไทยมีขำกันแน่นอนว่าอะไรคือ “ตุ๋ย-ฉัน” ซึ่งที่ถูกต้องแล้วคำว่า “tuition” จะต้องอ่านออกเสียงว่า “ทู-วิ-เชิน” ไม่เช่นนั้น ออกเสียงคำนี้ผิดชีวิตคุณเปลี่ยนแน่นอน!!!

12. Fit

กางเกงมัน Fit ไปสำหรับฉันนะ โดยมากคนไทยมักจะใช้คำว่า Fit ในความหมายว่า แน่น หรือคับ หรือไม่พอดี แต่ในความเป็นจริงนั้น คำว่า Fit หมายถึง พอดี เหมาะสม ซึ่งคำนี้เราสามารถใช้กับความหมายว่า He’s fit. หมายถึง เขาเป็นคนสุขภาพดี หรือ This shirt fit. จะหมายถึง เสื้อเชิ้ตตัวนี้ขนาดกำลังพอดี หากต้องการบอกว่า เสื้อเชิ้ตตัวนี้คับเกินไป จะใช้คำว่า This shirt is too tight. นั่นเอง

13. I can to speak English.

ฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ หรือ I cannot to speak English ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ประโยคนี้คนไทยก็ใช้ผิดบ่อยมาก ส่วนมากหากเราจะพูด ควรจะพูดว่า I can speak English ผมหรือฉันสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ปกติ หลังกริยาช่วย Helping verb คือ Can ไม่ค่อยนิยมเติม to

*** อีกกรณีหนึ่งบางคนชอบใช้คำว่า I don’t speak English ฉันไม่พูดภาษาอังกฤษ แทนคำว่า I cannot speak English ที่หมายถึงฉันไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ความแตกต่างระหว่างสองคำว่า I cannot speak English คืออยากพูดแต่พูดไม่ได้ ส่วน I don’t speak English ฉันไม่พูดภาษาอังกฤษ คือพูดได้ แต่ไม่อยากพูด ต้องนำไปให้ถูกด้วยนะคะ

14. I am thinking to change my job.

ฉันกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่ทำ ควรจะใช้ประโยคนี้เหมาะสมกว่าครับ I am thinking of changing my job.

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : 51 วลีภาษาอังกฤษ ให้กำลังใจตัวเอง และคนรอบข้าง

รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

คำที่คนไทยเข้าใจผิดภาษาอังกฤษ ทำยังไงถึงจะสื่อสารให้เข้าใจได้นะ

 

คำศัพท์ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ

15. One in the same vs. One and the same

ที่ถูกต้องจริงคือ One and the same (วัน แอนดฺ เดอะ เซม) ที่หมายถึง สองสิ่งที่มีลักษณะเหมือนกัน ซึ่ง One in the same นั้นไม่มีความหมายใด ๆ เลย

16. Out of order

เป็นอีกหนึ่งคำยอดฮิตที่คนไทยใช้กันบ่อยมาก และมักจะใช้ผิดกันตลอด เพราะเข้าใจว่าคำนี้หมายถึงสินค้าหมด หรือหมดสต๊อค ซึ่งควรจะใช้คำว่า Sold out หรือ Run out of… ก็ได้ ส่วน Out of order จะใช้ในกรณี “ชำรุด ใช้การไม่ได้” เช่น ประตูนี้ใช้งานไม่ได้ ก็จะถูกติดป้ายเอาไว้ว่า Out of order

17. On accident vs. By accident

หลายคนอาจจะสับสนว่า เมื่อต้องการใช้คำนี้ เราควรจะใช้ On หรือ By กันแน่ หากเราจะมาแปลกันตามตัวว่า On ancident คือ บนอุบัติเหตุ กับอีกคำ By accident โดยอุบัติเหตุ คำหลังดูจะเหมาะกับการใช้งานมากกว่าจริงไหมคะ และแน่นอนว่า เราควรที่จะใช้คำว่าๅ  By accident ด้วยหลักการของ preposition หรือคำบุพบท ที่ใช้บอกตำแหน่ง นั่นเอง หลายครั้งอาจจะรู้สึกปวดหัวกับคำเหล่านี้สักหน่อย แต่ถ้าใช้บ่อย ๆ เราก็จะเริ่มชินนะคะ

18. Extract revenge vs. Exact revenge

ถ้าพูดถึงคำว่า extract จะมีความหมายว่า สกัดบางสิ่งออกจากบางสิ่ง แต่คำที่ถูกต้องคือคำว่า exact revenge ที่หมายถึง การแก้แค้น หรือทวงความแค้นจากใครคนหนึ่ง

19. Aks vs. Ask

ตำแหน่งผิดความหมายเปลี่ยน ความผิดพลาดที่เกิดจากการออกเสียง ask (อาสคฺ) ที่แปลว่า ถาม ตอนอ่านเสียงท้ายต้องเริ่มด้วยเสียง s ก่อนแล้วจบด้วยเสียง k นะคะถึงจะถูก

20. Over 

ถ้าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบพูด ชอบทำอะไรเกินจริง เราก็มักจะพูดว่า “She is over” หล่อนดูโอเว่อร์ หรือดูเว่อร์มาก เป็นคำที่คนไทยมักจะใช้กันบ่อยมาก ซึ่งประโยคนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย ฝรั่งจะใช้คำที่สื่อความหมายถึงคนที่ทำอะไรเยอะเกินจริงว่า “exaggerate” เช่น She always exaggerates about her skills. เขาพูดเว่อร์เกี่ยวกับทักษะ และความสามารถของเขา

21. EFFECT / AFFECT

EFFECT คำนี้เป็นคำนามหมายถึง ผลกระทบที่ได้รับ หรือผลลัพธ์ มักจะออกเสียงผิดกันว่า “เอฟเฟ็คท์” การออกเสียงที่ถูกต้องจริงๆ นั้นคือ “อิ-เฟ็คท์” เน้นออกเสียง F ต้องอ่านเร็วและเน้นออกเสียงพยางค์หลัง ส่วนคำว่า AFFECT เป็นคำกริยา หมายถึง ส่งผลกระทบ มักใช้ในด้านลบ ออกเสียงว่า “เออะ-เฟคท” เน้นออกเสียงพยางค์หลังเช่นเดียวกันค่ะ

22. Same same

“เหมือน ๆ กันแหละ” เป็นคำที่คนไทยคุ้นเคยกันดี คนไทยเราจึงนำคำนี้มาแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงตัวกันไปเลย และคิดว่าน่าจะเข้าใจได้เหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงคำ ๆ นี้ (same) เป็นคำคุณศัพท์ ที่ใช้ขยายคำนาม ดังนั้น คำนี้จะต้องใช้เพื่อบ่งชี้คำนามเท่านั้นจ้า หากต้องการสื่อความหมายว่า ก็เหมือน ๆ กันแหละ เราสามารถใช้คำว่า similar ดูจะเหมาะสมกว่านะคะ

23. Same same but different

ต่อเนื่องจาก Same Same ข้อที่ 22 หากเราต้องการสื่อสารสารว่า ก็เหมือน ๆ กันแหละ แต่ก็ไม่เหมือนกันนะ คือ มันดูเหมือนกัน แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกัน ก็ควรจะใช้คำว่า Similar but different in some way ซึ่งจะหมายถึง คล้ายกันนะ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เหมือนอยู่ เวลาใช้ อย่าลืมใส่ V.to be  หรือ seem/look ก่อนประโยคเพื่อความสมบูรณ์ด้วยนะคะ

23. American share

โอ้วไม่นะ American Share ทำไมคนอเมริกันไม่เข้าใจ บ้าไปหรือเปล่า… ใจเย็น ๆ จ้า คำนี้บอกกันอย่างตรงไปตรงมาคือ มีแค่คนไทยค่ะ ที่รู้จัก เมื่อเราต้องการสื่อความหมายว่า ต่างคนต่างจ่ายนะ แต่คนอเมริกันแท้ ๆ รวมถึงคนต่างชาติทั่วไป ก็ไม่มีใครรู้จักกันจ้า. อย่าเพิ่งเครียดไป เอาเป็นว่า ถ้าอยากแยกกันจ่าย ก็พูดได้ง่าย ๆ ว่า You pay for yoursrlf. (จ่ายในส่วนของตัวเองนะ), Let’s pay separately. (แยกกันจ่ายเถอะ), Everyone pay for their own meal. (ทุกคนจ่ายของตัวเองนะ) แต่หากคุณพูดว่าทุกคน American share. แต่ละคน คงได้นั่งมองทำตาปริบ ๆ ว่ามันคืออะไรแน่นอนจ้า

24. Open/close the light

“เปิด/ปิดไฟให้หน่อยสิ” ก็แปลกันตรง ๆ หนิ ผิดตรงไหน อยากเปิด ก็ open อยากปิด ก็ close  แต่การเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เราไม่สามารถใช้คำว่า Open และ Close ได้เหมือนกับการเปิดประตู เปิดกล่องค่ะ แต่เราต้องใช้คำว่า Turn On เมื่อต้องการเปิด และ Turn Off เมื่อต้องการปิดนั่นเอง

25. I very like it.

“ฉันชอบมากเลย” ใครที่ใช้คำนี้บ่อย ๆ ต้องหยุดใช้กันแล้วนะจ๊ะ ถึงแม้จะเข้าใจว่า คำว่า Very เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงปริมาณที่มากขึ้น แต่ในภาษาอังกฤษนั้น เราไม่เอา Very มาวางไว้ หน้า Like กัน แน่นอนว่า หากคุณต้องการสื่อว่า ฉันชอบมันมาก ๆ ก็ให้ใช้คำว่า I like it very much แทน หรือถ้าต้องการยืนยันว่า ชอบจริง ๆ นะ ไม่ได้โกหก ก็ให้ใช้คำว่า I really like it.

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : อังกฤษ เป้าหมายแรกของคนไทยที่เลือกจะไป เรียนต่อต่างประเทศ

รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

คำที่คนไทยเข้าใจผิดภาษาอังกฤษ คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

คำศัพท์ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ

26. Pretty : พริตตี้สินค้า

ศัพท์คำนี้คงเป็นที่คุ้นหูหนุ่ม ๆ เป็นอย่างยิ่งเพราะได้ยินคำนี้ทีไร หูตาก็จะแพรวพราวกันเลยทีเดียว ซึ่งคำว่า Pretty ในภาษาอังกฤษนั้น โดยมากจะใช้เป็นคำคุณศัพท์ที่หมายถึง น่ารัก สวย น่ามอง เช่น She has a pretty face. เธอมีหน้าตาที่น่ารัก ส่วนพริตตี้ที่คนไทยหมายถึงนั้น คือผู้หญิงสวย ๆ ที่จะไปยืนเพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านให้สนใจในสินค้า ต่างชาติจะเรียกว่า Model อาจจะมีแยกประเภทไปตามแต่ละประเภทงาน เช่น Model at Exhibitions คือนางแบบที่งานแสดงสินค้านั่นเอง

27. Take a bath.

คนไทยมักจะได้ยินชาวต่างชาติบอกว่า Take a bath. ตอนจะไปอาบน้ำ นั่นเป็นเพราะ ส่วนมากชาวต่างชาติ มักจะอาบน้ำแบบนอนแช่ในอ่างอาบน้ำ จึงใช้คำจำกัดความว่า bath นั่นเอง ในขณะที่ลักษณะการอาบน้ำของคนไทย เป็นการอาบน้ำด้วยฝักบัว ดังนั้นเราควรจะใช้คำว่า Take a shower เมื่อต้องการสื่อความหมายว่าอาบน้ำ

28. Freshy

สดใส สดชื่น ซาบซ่า ไหนเลยจะเหมือนกับน้องใหม่ หรือเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียน เพราะเราเข้าใจความหมายแบบนี้ เราจึงใช้คำนี้ เรียกแทนเด็กปีหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง จะต้องใช้คำว่า Freshmen แทนนะคะ อย่าเอาคำว่า Freshy ไปใช้ที่ต่างประเทศนะ รับรองหันมองกันเป็นตาเดียวแน่นอนจ้า

29. Are you spicy?

หากต้องการถามว่าอาหารของคุณเผ็ดหรือ? การใช้ประโยคถามว่า Are you spicy? ดูออกจะน่าตกใจกว่าอาหารที่เราหมายถึงซะอีก เพราะจากประโยคนี้ จะหมายถึงตัวบุคคลคนนั้นเผ็ดแซ่บแค่ไหน หากต้องการถามถึงอาหาร ควรจะใช้ประโยคที่ว่า Is your food spicy? อาหารของเธอเผ็ดไหม?

30. Every day กับ Everyday

คำศัพท์สองคำนี้สำคัญมาก เรียกว่าใช้ผิดชีวิตเปลี่ยนเลย! โดย Everyday เป็นคำคุณศัพท์ซึ่งมีหมายความว่า “ทั่วไป หรือปกติธรรมดา” เช่น “Everyday people don’t dress head to toe in Gucci” ส่วนคำว่า Every day หมายถึง “บางสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน” เช่น “I drink three strong coffees every day” รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมใช้ให้ถูกความหมายนะคะ

31. Are you boring?

การจะใช้ -ing จะต้องระมัดระวังรูปประโยคกันสักนิดค่ะ boring ในที่นี้ จะหมายถึง บุคคลนั้นช่างน่าเบื่อ ดังนั้นเราควรจะใช้คำว่า bored ที่หมายถึงอารมณ์ ความรู้สึก ของคน ๆ นั้นว่ารู้สึกเบื่อไหม เช่น Are you bored? คุณรู้สึกเบื่อมั้ยคะ?

32. I like to play Internet.

เป็นอีกหนึ่งคำที่คนไทยมักจะใช้ผิดกันอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเพราะการที่แปลแบบตรงตัวกับภาษาไทยว่า ฉันชอบเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้รูปประโยคนี้ คนไทยมักจะใช้คำว่า Play แต่ในภาษาอังกฤษนั้น การเล่นอินเตอร์เน็ต ไม่มีอยู่ในสารระบบ แต่จะใช้คำว่า use คือ use Internet เพื่อสื่อว่า ฉันใช้อินเตอร์เน็ต เพราะเราไม่สามารถเอาอินเตอร์เน็ตมาเล่นได้ แต่เรานำเอาอินเตอร์เน็ตมาใช้ต่างหาก ดังนั้นรูปประโยคควรจะเป็น I like to use Internet on my free time. หนูชอบใช้อินเตอร์เน็ตเมื่อมีเวลาว่าง

33. I want to play yoga.

คำนี้ออกจะสับสนกันสักหน่อย เพราะส่วนมากเราจะใช้ คำว่า Play กับกีฬาหลาย ๆ ชนิด เช่น ฟุตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส หรือเกมต่าง ๆ แต่ในขณะที่การเล่นโยคะนั้น เราจะใช้คำว่า do แทนคือการทำโยคะ (การออกท่าทางเคลื่อนไหวแบบโยคะ) เช่น I want to do yoga this Friday. วันศุกร์นี้ฉันอยากไปเล่นโยคะจัง เป็นต้น

34. Where you go?

ในเมืองท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเยอะ ๆ เราอาจจะได้ยินประโยคนี้กันบ่อย ๆ เพราะเป็นประโยคที่รถตุ๊ก ๆ ที่วิ่งในตัวเมืองถามหาผู้โดยสารชาวต่างชาตินั่นเอง การถามคำถามที่ขึ้นต้นด้วย where จะต้องตามด้วย คำกริยาค่ะ อาจจะเป็น v. to be หรือ modal verb (เช่น can could may might will เป็นต้น) ก็ได้ เช่น Where are you going? คุณกำลังจะไปไหนเหรอ? Where will you go? เธอจะไปไหนล่ะ?

35. ANGEL / ANGLE

อ่านว่า “แอง- เจิล” แปลว่านางฟ้า แต่หลายคนมักเขียนผิดเป็น ANGLE อ่านว่า “แอง-เกิ้ล” ที่แปลว่ามุม นอกจากการเขียนที่คล้ายกัน การออกเสียงของ 2 คำนี้ก็ยังใกล้เคียงกันอีกด้วย หากพูดไม่ชัดเจนจะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป ดังนั้นต้องระวังกันสักนิด ตำแหน่งผิด ความหมายเปลี่ยนกันเลยนะคะ

36. FLOWER / FLOUR

ทั้ง 2 คำนี้ออกเสียงเหมือนกัน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารบ่อย ๆ FLOWER คำนี้แปลว่า “ดอกไม้” ส่วน แปลว่า FLOUR “แป้งทำอาหาร” ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียนไม่เหมือนกัน ในกรณีที่เราไม่แน่ใจเมื่อได้ยินคำศัพท์ที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่มีความหมายต่างกันอยู่ในประโยคสนทนา ให้เราสังเกตกิริยาท่าทางที่แสดงประกอบระหว่างสนทนา รวมถึงคำศัพท์อื่น ๆ ที่อยู่ในประโยค

37. SIX / SICK

สำหรับ 2 คำนี้เป็นคำที่มักพบว่าออกเสียงผิดกันเยอะมาก เมื่อออกเสียงผิดก็ทำให้ความหมายของคำผิดเพี้ยนไปเป็นคนละความหมายเลยที เดียว สำหรับ SIX นี้แปลว่า เลขหก ออกเสียงว่า “ซิคส” ส่วน SICK คำนี้แปลว่า ป่วย/ไม่สบาย ออกเสียงว่า “ซิค” หลาย ๆ คนออกเสียงผิดจนทำให้ความหมายเปลี่ยน และสร้างความไม่เข้าใจให้กับคู่สนทนาต่างชาติ จนเกิดความเข้าใจผิดในการสนทนาได้

38. Don’t serious

ถ้าจะพูดให้ถูกหลักไวยากรณ์ต้องพูดว่า Don’t be serious แต่คนไทยนำมาใช้ในความหมายที่ว่าอย่าเครียดไปเลย ซึ่งเจ้าของภาษาไม่ได้ใช้คำพูดในการปลอบโยนแบบนี้ แต่จะใช้คำว่า Calm down หรือ Relax ถ้าเป็นรูปประโยคจะพูดว่า lt’s no big deal. หรือ  lt’s not worth being serious about.

39. Don’t be worry

เป็นประโยคที่ใช้ ในการปลอบโยนเช่นกัน แต่คนไทยมักจะเติม be ในประโยคนี้ทั้ง ๆ ที่ worry เป็นคำกริยาซึ่งไม่ต้องนำ verb to be มาช่วยแต่อย่างใด เช่น Don’t worry, you will not fail the test. แปลว่าอย่ากังวลไปเลย เธอไม่สอบตกหรอก

40. It is more cold today. หรือ It is more warm today.

วันนี้อากาศเย็นมากหนาวมาก หรือ วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก เวลาที่เราต้องการบอกฝรั่งว่า วันนี้อากาศเป็นเช่นไร ลองเปลี่ยนจากประโยคข้างบนเป็นคำว่า It is colder today. จะดีกว่านะคะ น่าจะใช้ได้ดีกับอากาศช่วงนี้ หรือใช้คำว่า It is warmer today.

41. I will telephone you later.

ผมจะโทรหาคุณภายหลัง ลองใช้ประโยคนี้ดูดีกว่าค่ะ I will call you later. หรือ I will phone you later.

42. Hi-so

คำนี้ ทุกคนเข้าใจว่ามาจาก High Society ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร เช่น “คู่นี้เขาเป็นแฟนกันได้อย่างไร? ญาญ่าแต่งตัวไฮโซ ส่วนณเดชแต่งตัวโลโซมาก” เป็นอันว่าคนไทยเข้าใจ แต่เวลาไปสื่อสารกับฝรั่งต่างภาษา ไม่เข้าใจแน่นอน ควรใช้ว่า “Classy” หรือ “Hi-Class” สำหรับการจะบอกว่าใคร ดูดีมีระดับจะดีกว่า

43. She have / He have

แปลว่า เธอมี / เขามี : คนไทยมักพูดแบบที่ผิดหลักไวยากรณ์ในลักษณะนี้ ที่ถูกต้องนั้น คำกริยาที่ถูกต้อง คือ has เนื่องจาก She และ He เป็นประธานเอกพจน์บุรุษที่สาม ตัวอย่างประโยค เช่น She has two cars. (ชี แฮส ทู คาร์ซ) แปลว่า เธอมีรถสองคัน

44. Back

“back” คำนี้มีความหมายว่า “หลัง” (อวัยวะ) แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะใช้คำว่า “แบ็ค” เป็นคำกล่าวถึง คนที่คอยสนับสนุนคนๆ หนึ่งเป็นอย่างดี นั่นก็คือ He has a good back. แต่ฝรั่งคงจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับหลัง และหลังของเขาดีอย่างไร? ดังนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้องใช้คำว่า “a backup” ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้ เช่น He has a good backup. หรือ “support” ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่แปลว่า สนับสนุน นั่นเอง
45. I think she doesn’t like tomatoes.
ที่ถูกต้องคือ “I don’t think she likes tomatoes.” ในข้อนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ผิดแกรมม่าร์ก็ตาม แต่โดยทั่วไปเรามักจะพูดว่า “I don’t think she likes tomatoes.” มากกว่า
46. I like very much soccer.
ที่ถูกต้องคือ “I like soccer very much.” หรือ “I like soccer a lot” หรือ “I really like soccer.” จะไม่ใช้ “very much” ระหว่าง verb และ object
47. She asked me where do I work.
ที่ถูกต้องคือ “She asked me where I work.” ประโยคแบบนี้เราเรียกว่า reported questions ซึ่งเราจะไม่ใช้ “do/does/did” ในประโยคแบบนี้

48. Jam 

หากคุณต้องการใช้คำว่าแจม สื่อความหมายถึงขอร่วมด้วยคน หรือขอแจมด้วยคน แล้ว หยุดความคิดก่อนจ้า เปลี่ยนคำว่า Jam มาเป็นคำว่า Join น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เปลี่ยนจาก Jam มาเป็น Join หรือ Come with Us ก็จะเป็นรูปประโยคว่า Do you want to join us? หรือ Do you want to come with us? (เธอจะไปกับพวกเรามั้ย?) ก็จะดูดีกว่า
49. I need to finish this project until Friday.
ที่ถูกต้องคือ I need to finish this project by Friday. “Until” จะใช้กับประโยคที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและสิ้นสุดในเวลาหนึ่ง แต่ “finish” เป็น verb ที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว จึงควรใช้คำว่า “by”

50. The Thais people is very friendly.

คนไทยเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี หรือ เป็นมิตร แต่ต้องตระหนักว่า คำว่า People นั้นหมายถึงคนจำนวนเยอะมาก ส่วนคำว่า Person หมายถึงบุคคล หากเราอยากจะบอกฝรั่งว่า คนไทยเป็นคนลักษณะเช่นไร เราจะต้องบอกว่า The most Thais are very friendly. คนไทยส่วนมากเป็นคนอัธยาศัยดี หรือเป็นมิตร

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : การ์ตูนบาร์บี้ ให้ลูกเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ฝึกทักษะภาษา

รวม 70 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยมักเข้าใจผิด

คำที่คนไทยเข้าใจผิดภาษาอังกฤษ สับสนทุกครั้งเมื่อต้องใช้คำศัพท์นี้

คำศัพท์ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ

51. Made & Maid

เป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ ที่ออกเสียงเหมือนกัน และยังเขียนคล้ายกันอีกคำหนึ่ง แต่ความหมายนั้นแทบจะไปคนละทางกันเลย Made เป็นคำกริยา หมายถึง ซึ่งทำขึ้น ในขณะที่ Maid จะหมายถึง สาวใช้

52. Mansion

เวลาฝรั่งถามคนไทยว่าพักอยู่ที่ไหน คนไทยบางคนชอบบอกว่าอยู่ “แมนชั่น” หรือ “mansion” คุณรู้ไหมว่าคำว่า mansion ของฝรั่งนั้น หมายถึง “คฤหาสน์” ซึ่งก็อาจจะทำให้ฝรั่งบางคนตาค้าง ในความรวยของเรา ดังนั้น Mansion เป็นศัพท์ที่คนไทยเอามาใช้แบบผิด ๆ ถึงแม้ว่า หน้าหอพักจะเขียนว่า แมนชั่น ก็ตาม แต่ลักษณะที่เราพักอาศัยอยู่นั้นจะเป็นลักษณะของ “Flat” หรือ “Apartment”

53. I am Buddhism.

ในความหมายด้านบน หมายถึง ผม/ฉัน เป็นพระพุทธศาสนา (ซึ่งในความเป็นจริงเราจะเป็นพระพุทธศาสนาไม่ได้ ) ดังนั้นเราควรจะใช้คำว่า  I am Buddhist ที่หมายถึง ผม/ฉัน เป็นพุทธศาสนิกชน หรือ เป็นพุทธมามกะ เวลากรอกใบสมัครงานต้องดูให้ดีนะคะ บางครั้ง เขาอาจจะถามแบบใดแบบหนึ่ง คำตอบคือ What is your religion คำตอบคือ Buddhism และ แต่หากใบกรอก เขียนว่า Religion/ you are… คำตอบคือ Buddhist

54. Accessory & Accessary

แม้ว่าสองคำศัพท์นี้ จะเขียนคล้ายคลึงกัน แต่ความหมายก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เวลาที่เราเขียน หรือเวลาที่ออกเสียงจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่บางส่วน ก็สามารถเข้าได้จากรูปประโยคที่ประกอบ Accessory หมายถึงเครื่องประดับ แต่ Accessary กลับหมายถึง ผู้สมคบคิด หรือผู้ร่วมมือ

55. Lamp & Lamb

เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรามักจะพบเจอบ่อยมาก เนื่องจากมีความใกล้เคียงทั้งการออกเสียง และการเขียน Lamp แปลว่า โคมไฟ ส่วน Lamb จะแปลว่า ลูกแกะ

56. My father and my mother want me to study.

พ่อแม่ของฉันต้องการให้ฉันเรียนหนังสือ จะว่าไปแล้วประโยคนี้มันก็ไม่ได้ผิดร้ายแรงอะไรมากมาย แต่อาจจะเป็นเพราะใช้คำฟุ่มเฟื่อยเกินไปและใช้กาลไม่ถูก หากคิดว่าประโยคนี้ไม่เหมาะ ลองมาใช้ประโยคนี้ดีกว่าค่ะ My parents wanted me to study. เป็นการรวมระหว่าง My Father and My Mother อยู่ใน คำว่า My Parents ก็จะทำให้ประโยคกระชับและเข้าใจง่ายกว่าเยอะค่ะ

57. Never mind

คำนี้ได้ยินกันบ่อยมาก จนกลายเป็นความเคยชิน และส่วนมาก คนไทยก็มักจะใช้ผิดกันด้วยซิ คนไทยมักใช้คำนี้เวลาต้องการสื่อสารว่า “ไม่เป็นไร” หรือ “ช่างมันเถอะ” ความหมายนี้ก็จริง แต่เรามักจะใช้ผิดบริบทอยู่บ่อยครั้ง เช่น ถ้ามีเผลอมาชนคุณ แล้วคุณต้องการตอบว่า ไม่เป็นไร ควรจะใช้คำว่า No problem (ไม่มีปัญหา) มากกว่าที่จะใช้คำว่า Never mind ค่ะ

58. I see

เรามักจะได้ยินฝรั่งพูดบ่อย ๆ ในการสนทนา เป็นการกล่าวเชิงรับ แปลว่า อ๋อ เหรอ หรือครับ/ค่ะ เราสามารถนำไปใช้แทนคำว่า Yes ได้ จะทำให้การสนทนามีความสนุกมากขึ้น และคำว่า You know? แปลว่า รู้ไหม หากเป็นภาษาไทยก็น่าจะแปลว่า นี่ ๆ เธอรู้ไหม?

59. This is the first time I am here.

นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาที่นี่ ควรจะใช้คำว่า This is the first time I have been here. ดีกว่านะคะ

60. Please explain me what you want.

ประโยคนี้ส่วนมาก จะเป็นพนักงานขายสินค้าที่มักจะใช้กัน เพื่อสอบถามลูกค้าว่าคุณต้องการอะไร แล้วช่วยอธิบายลักษณะของสิ่งนั้น โดยใช้คำว่า Please Explain to me What you want? เพิ่ม to เข้าไป ก็จะทำให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้น และเข้าใจได้ง่ายค่ะ

61. Please listen me.

ได้โปรด ฟังผมหน่อย ควรจะพูดว่า Please listen to me. หรือจะพูดว่าอะไรก็ช่าง เช่น You never listen to me. คุณไม่เคยฟังผมเลย หรือ She never listens to me หล่อนไม่เคยฟังผมเลย

62. How are you doing? VS What are you doing?

ส่วนข้อนี้เวลาฟังฝรั่งต้องฟังให้ดีค่ะระหว่าง How are you doing? สบายดีไหม เป็นไงบ้าง กับ What are you doing? กำลังทำอะไรอยู่หรือ อย่าจำสับสนนะครับ

63. I want go home

ฉันอยากกลับบ้าน ควรจะพูดว่า I want to go home ดีกว่านะค่ะ

64. You speak a very good English

คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ควรจะพูดว่า You speak very good English คุณพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก

65. It is often raining here

ประโยคนี้ จะเป็นประโยคที่อิงกับหลักแกรมม่าค่ะ ที่นี่ฝนมักตกบ่อย ๆ ควรจะพูดว่า It often rains here. ดีกว่าค่ะ

66. I am not believing you.

จากประโยคนี้ จะหมายถึง ฉันกำลังจะไม่เชื่อคุณ ซึ่งขนาดแปลเป็นภาษาไทยแล้ว ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ ใช่ไหมคะ งั้นเราควรจะเปลี่ยนเป็น ฉันไม่เชื่อคุณหรอกนะ ดังนั้นประโยคภาษาอังกฤษก็ควรจะเป็น I don’t believe you. นั่นเองค่ะ

67. He/ She has much money.

เขา/หล่อน มีเงินเยอะมาก ควรจะเปลี่ยนจากคำว่า much เป็น a lot of ก็จะทำให้ประโยคดูสมบูรณ์ He/ She has a lot of money. เขา / หล่อน มีเงินเยอะมาก

68. I am boring in the lessons.

ฉันเบื่อวิชานี้ แต่ประโยคนี้แปลว่า ฉันเป็นคนน่าเบื่อในวิชานี้ แต่หากเราต้องการจะบอกว่าฉันเบื่อวิชานี้ หรือชั่วโมงนี้ ก็ควรจะพูดว่า I am bored in the lessons. หรือ I am bored with the lessons.

69. I am thinking to change my job.

ผมกำลังคิดว่าจะเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่ทำ ควรจะใช้ประโยคนี้น่าจะเหมาะสมกว่า I am thinking of changing my job.

70. I want to my English better

เมื่อต้องการพูดว่า ฉันอยากให้ภาษาอังกฤษของฉันดีขึ้น ประโยคด้านบนต่างชาติฟังก็พอจะเข้าใจได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีเปลี่ยนมาใช้ I want to better my English. น่าจะฟังแล้วเคลียร์กว่านะคะ

ที่มา : gotoknow, bestkru , wegointer

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!