ทำไม ยารักษาสิว จึงอันตรายกับลูกในท้อง 100 สิ่งแม่ท้องต้องรู้ ตอนที่ 75
ในช่วงตั้งครรภ์เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลมากมายกับคุณแม่ทั้งหลาย ที่กำลังมีการเจริญพันธุ์ของทั้งคุณแม่ และทารกในครรภ์ โดยเฉพาะว่าที่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกชาย ซึ่งเชื่อกันว่าฮอร์โมนของลูกชาย จะยิ่งทำให้คุณแม่มีสิวเห่อขึ้นมา ทำให้คุณแม่คนสวยต้องหา ทางรักษาสิว บางคนปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง แต่บางคนก็หายามาใช้เอง อย่างหลังนี่แหละค่ะที่เป็นอันตราย เพราะ ยารักษาสิว บางตัวเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ถ้าหากเราไม่ศึกษาให้ดี และได้รับคำแนะนำจากแพทย์
ยารักษาสิว มีแบบไหนบ้าง ?
- กลุ่มยารักษาสิวแบบทา
- ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือ เรตินอยด์ ได้แก่ Tretinoin, Isotretinoin, Adapaleno ซึ่งยากลุ่มนี้ยังไม่ยืนยันความปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์
- Tazarolene ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์โดยเด็ดขาด
- กลุ่มยารักษาสิวแบบทาน
- ยากลุ่มเดตตร้าชัยคลิน ได้แก่ Tetracycline, Doxycycline และ Minoeyeline ซึ่งเป็นยากินรักษาสิวที่ใช้กันมาก เนื่องจากยาตัวนี้มีผลต่อกระดูก และฟันของเด็กอ่อนในครรภ์ และเด็ก
- กลุ่มฮอร์โมน เช่น Spironolactone, Cyproterone acetate ยากลุ่มนี้ ไม่ควรกินในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ เพราะลูกน้อยในท้องที่เป็นเพศชายคลอดออกมามีลักษณะคล้ายเพศหญิง
- ยากลุ่มวิตามิเอ คือ เรตินอยด์ หรือ Isotretinoin ยาตัวนี้ จะทำให้ทารกในครรภ์พิการได้อย่างมาก คือ ศีรษะโต หรือเล็กผิดปกติ ในหน้า และตาผิดปกติ ปัญญาอ่อน หรือหัวใจผิดปกติได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องจำขึ้นใจอย่าใช้ยาตัวนี้เด็ดขาด หรือใครที่คิดจะตั้งครรภ์ เคยใช้ยาตัวนี้ก็ต้องหยุดกินยาให้ครบ 1 เดือนก่อนการตั้งครรภ์จึงปลอดภัย และระหว่างให้นมลูกก็ห้ามใช้ยาตัวนี้ด้วย เช่นกัน รวมไปถึงห้ามบริจาคเลือดระหว่างกินยานี้ การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ส่วนความผิดปกติที่พบร้อยละ 25 – 30 ของหญิงตั้งครรภ์ที่กินตัวยานี้ เด็กมีความผิดปกติในกะโหลก และใบหน้า หัวใจ ระบบประสาทส่วนกลาง
คุณแม่อยากหน้าใสทำอย่างไรดี ?
สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด คือการไปพบ และปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง และควรแจ้งคุณหมอด้วยว่า “ขณะนี้กำลังตั้งครรภ์กี่เดือน” เพื่อให้การจ่ายยารักษาสิว เป็นไปอย่างปลอดภัยมากที่สุด และหากอยากเลี่ยงการใช้ ยารักษาสิว โดยสิ้นเชิง ก็ยังมีการรักษาสิวด้วยวิธีอื่น เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งจะให้ผลที่ดีกว่า และช่วงรักษาได้เฉพาะจุด โดยไม่เป็นอันตรายเจ้าตัวน้อยในครรภ์ด้วยค่ะ
รวมไปถึงการรักษาด้วย การรักษาความสะอาดเป็นสำคัญค่ะ ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว หรือจะใช้สมุนไพร ที่เป็นธรรมชาติล้วน ๆ ขัด หรือพอกหน้าดูก็ได้ค่ะ และถ้ายังห่วงเรื่องความปลอดภัย ก็ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อน เพื่อความมั่นใจ
อย่าลืมเป็นอันขาดนะคะว่าถึงจะอยากสวยแค่ไหน แต่เจ้าตัวน้อยในครรภ์ ก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดค่ะ เราอาจจะต้องดูแลเจ้าตัวน้อยให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยหันมาดูแลตัวเอง ก็ยังไม่สายนะคะ ความสวยรอได้ค่ะ
ยากินรักษาสิว ที่มีผลเสียต่อเด็กทารกมากที่สุด เป็นเหตุให้เด็กต้องพิการหลายพันคนทั่วโลก คือ เรตินอยด์ หรือ Isotretinoin ยาตัวนี้จะทำให้เด็กทารกพิการ ดังนั้นสาว ๆ ที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องจำขึ้นใจว่า อย่าใช้ยาตัวนี้เด็ดขาด หรือใครที่คิดจะตั้งครรภ์ เคยใช้ยาตัวนี้ก็ต้องหยุดกินยาให้ครบ 1 เดือนก่อน การตั้งครรภ์จึงปลอดภัย และระหว่างให้นมลูกก็ห้ามใช้ยาตัวนี้ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงห้ามบริจาคเลือดระหว่างกินยานี้ การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ส่วนความผิดปกติที่พบร้อยละ 25 – 30 ของหญิงตั้งครรภ์ที่กินตัวยานี้ เด็กมีความผิดปกติในกะโหลกและใบหน้า หัวใจ ระบบประสาทส่วนกลาง ที่ต้องออกมาเตือนกันนั้น เป็นเพราะในเมืองไทยสามารถหาซื้อยา ตัวนี้ได้ง่ายและไม่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์นั่นเอง
ยาที่ใช้ในการรักษาสิวแต่ละประเภท ได้ถูกออกแบบมาตามลักษณะความรุนแรงของสิว หากสิวมีความรุนแรงน้อย เช่น สิวอุดตัน สามารถใช้ยาทา ก็จะพอช่วยลดอาการของสิวลงได้ แต่ถ้าสิวมีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีลักษณะเป็นไตลึก ๆ มีตุ่มหนองเกิดขึ้นเยอะหรือมีไข้ร่วมด้วย อาจต้องใช้ยารับประทาน ทั้งนี้ควรอยู่ในการพิจารณาของแพทย์เป็นหลัก
เพราะถ้าความรุนแรงของสิวไม่มาก ยาที่ใช้จะเป็นยาในกลุ่มลดการอักเสบ หรือยาทาเพื่อลดการอุดตันของรูขุมขน แต่ในกรณีที่รับประทานยาหลายชนิดแล้วไม่ดีขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มของกรดวิตามินเอในการรักษา โดยแพทย์จะพิจารณาใช้ยาชนิดนี้เป็นยาตัวท้าย ๆ เพราะมีผลข้างเคียงที่รุนแรง
โดยเฉพาะกับผู้หญิงในช่วงวัยที่แต่งงานแล้ว หรือกำลังวางแผนที่จะมีบุตร การประเมินความเหมาะสม ในการใช้ยาควรมาจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศเองได้ให้ความสำคัญกับข้อบังคับในการใช้ยาชนิดนี้เป็นอย่างมาก โดยต้องตรวจก่อนว่าไม่ตั้งครรภ์ ในขณะที่เริ่มทานยา และในระหว่างที่ทานยาก็ต้องดูรอบเดือนด้วยว่า ไม่ตั้งครรภ์จนกว่าจะหยุดยา แต่ในประเทศไทยกลับพบว่า ยาดังกล่าวสามารถสั่งซื้อได้ง่าย ดังนั้นผู้บริโภคต้องควรระวังเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ตามปกติ ตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ขายยาชนิดนี้อยู่แล้ว แต่ก็ยังพบว่า มีการขายแบบผิดกฎหมายอยู่ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก ไม่ควรสั่งซื้อยาเพื่อมารับประทานเอง โดยหลงเชื่อจากคำโฆษณา หรือการบอกต่อถึงสรรพคุณของยา เพราะนอกจากผลข้างเคียงของยาแล้ว เราอาจไม่รู้เลยว่ายาที่กำลังรับประทานอยู่นั้นเป็นยาปลอม หรือไม่
ที่มา :
- https://www.chemtrack.org/News-Detail.asp?TID=7&ID=99
- https://www.sanook.com/women/10025/
- https://pantip.com/topic/34486523
- https://www.maerakluke.com/topics/5446
- https://www.hfocus.org/content/2018/03/15490
บทความที่น่าสนใจ :