เลี้ยงลูกแบบแฮปปี้สไตล์ “เต้ สุผจญ กลิ่นสุวรรณ” จาก English Breakfast

ใครจะไปคิดว่าผู้ประกาศข่าวมากความสามารถและพิธีกรรายการ English Breakfast อย่าง “เต้ สุผจญ กลิ่นสุวรรณ” จะมีทายาทถึง 4 คนแล้ว เรามีโอกาสสัมภาษณ์การเลี้ยงลูกของคุณพ่ออารมณ์ดีคนนี้กัน
ครอบครัวของ “เต้ สุผจญ กลิ่นสุวรรณ”
ครอบครัวของคุณเต้ สุผจญ กลิ่นสุวรรณ เป็นครอบครัวใหญ่ ที่มีคุณเต้ คุณแอน น้องแองเคอร์วัย 6 ขวบ น้องแองเจิ้ลไนน์วัย 4 ขวบครึ่ง น้องเอ็มซีวัย 3 ขวบ และสมาชิกใหม่ล่าสุดน้องแอเรียลวัย 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่มือโปรทั้ง 2 คนจะมาตอบคำถามแบบหมดไส้หมดพุงถึงเคล็ดลับดี ๆ กับการเลี้ยงลูก และแง่คิดดี ๆ ให้แฟน ๆ TheAsianparent มาประยุกต์ใช้กันค่ะ
ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรตั้งแต่มีลูก?
คุณเต้: ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เรามีแรงจูงใจว่าต้องทำงาน จะเที่ยวเล่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อน ๆ อย่างเล่นเกมส์ ออกกำลังกาย ชกมวยด้วยกันอยู่ แต่ต้องวางแผนเรื่องเงินให้รอบคอบว่าเมื่อถึงช่วงเดือนนี้ควรมีเงินอยู่ในบัญชีเท่าไหร่เพื่อให้พอจ่ายค่าเทอม และรายจ่ายอื่น ๆ ในบ้าน
ส่วนเวลาออกนอกบ้านไปไหนมาไหนก็จะเป็นขบวนที่ใหญ่มากขึ้น เมื่อก่อนไปไหนมาไหนกัน 2 คน สบายมาก เวลารีบก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์คนละคัน แต่ตอนนี้ไปไหนมาไหนทีอย่างน้อยก็ 9 คน ทั้งคนขับรถ พี่เลี้ยง ลูก ภรรยา แม่ยาย เป็นอย่างน้อยครับ
คุณแอน: ในมุมมองของผู้หญิงมีอะไรเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะค่ะ จากสาวสวยปิ๋ง กลายเป็นไม่มีเวลาแต่งหน้าทำผม ไม่ได้ดูแลตัวเองเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าอยากไปไหนกัน 2 คนเหมือนเมื่อก่อนอย่างกินข้าว ดูหนัง ดำน้ำก็ทำได้ยากมาก หากต้องไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศตอนนี้ต้องแยกกันไปคนเดียวเพราะจะพาลูกไปก็สงสารลูก
ในช่วงแรก ๆ ที่มีลูกต้องยอมรับว่าเครียดด้วย เพราะลูกคนแรกเป็นโคลิค พี่เต้เองตอนนั้นทำงานที่เนชั่น งานก็ยุ่งอยู่แล้ว ตกดึกก็ต้องผลัดเวรกันอุ้มลูกเดินไปเดินมาตามทางเดินของคอนโด เราเองก็เกรงใจคนข้างห้อง น้องแองเคอร์คลอดก่อนกำหนดด้วย น้ำหนักออกมา 1,900 กรัม ลูกคนแรกดูจะขี้โรคที่สุดและเป็นเด็กขี้ร้อง ตอนที่ลูกเกิดมาได้ 8 วันลูกเป็นภูมิแพ้ผื่นผิวหนัง พี่เต้ก็ไม่อยู่เพราะติดงานต่างจังหวัด ตอนนั้นก็หนักเหมือนกัน แต่พอผ่านไป 3 เดือนลูกหยุดร้อง ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น เป็นเรื่องแปลกมากที่คนอื่นเค้าบอกว่าโคลิคเป็น 3 เดือนเดี๋ยวก็หาย แล้วพอ 3 เดือนปุ๊บหายเลยจริง ๆ
นอกจากนี้เรื่องอาหารการกินก็มีข้อห้ามเยอะ อะไรที่ห้ามก็อยากกิน เราก็ต้องอดทน ไม่กินก็ได้ แต่ก็น่าแปลกใจเหมือนกันที่คนแรกยิ่งเราระวัง เราไม่กินอะไรเลย กลับกลายเป็นว่าลูกกลับอ่อนแอที่สุด
ส่วนเรื่องสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ต้องยอมรับว่าโชคดีมีเพื่อนที่เข้าใจ เราเป็นคนแรกของกลุ่มที่มีลูกแล้วมีเยอะด้วยในขณะที่เพื่อน ๆ ยังไม่มีใครมีลูกเลย เราก็เลยชวนเพื่อนมาที่บ้านแทน มากินข้าว จัดปาร์ตี้กันที่บ้าน เลยทำให้เรายอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้
อยากรู้ว่า“เต้ สุผจญ กลิ่นสุวรรณ”มีวิธีทำโทษลูกอย่างไร อ่านหน้าถัดไป >>>
กิจกรรมยามบ่ายของน้องแองเคอร์และน้องแองเจิ้ลไนน์
มีลูกวัยใกล้เคียงกันขนาดนี้ก็มีบ้างที่ทะเลาะกัน ดื้อบ้าง ซนบ้าง มีวิธีทำโทษลูกอย่างไร?
คุณเต้: ถ้าทะเลาะกันผมจะใช้วิธีการขู่ เราจะรู้ว่าลูกกลัวอะไรบ้าง เช่น แองเคอร์เขาชอบเดินไปไหนมาไหนเองคนเดียวเวลาอยู่ข้างนอก ผมเลยใช้วิธีจัดฉากว่าลูกโดนลักพาตัว ตอนนั้นพอดีมีงานที่สกาล่า เลยเตี๊ยมกับเพื่อนว่าช่วยมาลักพาตัวลูกผมหน่อย เพื่อนเขาก็เดินมาจับตัวลูกแล้วบอกว่าไปลูกไปอยู่กับอานะ เชื่อไหมครับว่าผมไม่เคยเห็นลูกกรี๊ดและดิ้นขนาดนี้มาก่อนเลย พอเพื่อนจับลูกเข้ารถตู้ของบริษัทเสร็จเราก็รีบเลย อุ๊ย! ขอโทษครับลูกผมลูกผม ตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ลูกยังเข้าใจว่าโดนลักพาตัว (ไม่รู้ว่ามันส่งผลเสียกับลูกยังไงบ้างนะ) ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็จับมือตลอด ไม่ยอมปล่อย นอกจากนี้แองเคอร์ยังกลัวการอยู่คนเดียวนอกบ้าน ถ้าลูกดื้อใช่ไหมดังนั้นเวลาจะทำโทษคือ กดรีโมทเปิดประตูบ้านแล้วอุ้มลูกออกไปวางนอกบ้านแล้วทำหน้าดุใส่ลูก ลูกจะไม่ทำผิดแล้ว เพราะลูกรับไม่ได้กับการอยู่คนเดียวนอกบ้าน
คนที่ 2 น้องแองเจิ้ลไนน์จะกลัวความสกปรกในกรงหมา พอดื้อปุ๊บเราก็บอกเลย งั้นหนูไปอยู่ในกรงหมาสักชั่วโมงนึง ลูกก็จะร้อง “ไม่เอา” เราก็ไม่ต้องลงโทษให้ลูกเจ็บตัว แค่ขู่ก็ได้ผลแล้ว แต่คนที่ 3 น้องเอ็มซีเรายังไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร ยังหาไม่เจอ ลองเอาลูกใส่กรงแต่ไม่ใช่กรงสกปรก แต่เป็นลานดิน แล้วลองไปแอบดู ลูกก็ยืนเฉย ๆ แถมเล่นกับหมา และเตะสังกะสีแบบสนุก ๆ เพลิน ๆ อีก แต่เคยลองอีกวิธีหนึ่งกับคนที่ 3 ลองเอาลูกไปนอนบนผ้าห่มแล้วม้วนคล้าย ๆ ซูชิ ลูกก็ดิ้นและโกรธ แต่สักพักหนึ่งก็ยอมแพ้
คุณแอน: ด้วยความที่แองเคอร์เป็นพี่ พอพูดถึงการลักพาตัว ก็จะเล่าให้น้อง ๆ ฟัง ว่าพี่เคยโดนลักพาตัวนะ พี่เต้เองชอบใช้วิธีโหด ๆ ให้เสียงดัง เลยทำให้ลูกทุกคนกลัวพ่อนะ แต่สำหรับพี่ก็จะมีทั้งโหดและไม่โหด แต่ถ้าพี่ตีน้องพี่จะต้องถูกลงโทษ เราจะบอกหน้านิ่ง ๆ ว่าลูกทำแบบนี้ไม่ได้นะ มีอยู่วันหนึ่งลูก ๆ ออกไปเล่นนอกบ้านแล้วพี่แกล้งน้อง เราก็จะบอกว่าวันนี้จะทำโทษไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน 1 วัน ที่นี้พอให้ลูกทำอะไรลูกยอมทำหมดเลย
กลยุทธ์พาลูกไปโรงเรียนวันแรกอย่างไรไม่ให้ลูกร้องไห้ อ่านต่อหน้าถัดไป >>>
น้องแองเจิ้ลไนน์โชว์ฝีมือการเล่นเปียโนให้คุณพ่อฟัง
เลือกโรงเรียนให้ลูกอย่างไร?
คุณแอน: แอนกับพี่เต้เห็นตรงกันว่าโรงเรียนควรอยู่ใกล้บ้าน โชคดีที่แถวบ้านมีโรงเรียนหลายโรงที่ดัง ๆ ตอนเลือกก็มีโอกาสสอบถามคนอื่น ๆ ว่าแต่ละโรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง และไปดูโรงเรียนว่าครูมีวิธีจัดการกับเด็กอย่างไร พอพาลูกไปดู แล้วลูกชอบ คุณครูก็มีประสบการณ์ดี น่าจะดูแลลูกเราได้ ตอนนี้แองเคอร์จะเข้าโรงเรียนประถม แต่เราเลือกที่จะไม่ฝ่ารถติดเข้าไปในเมือง เพราะไม่อยากให้ลูกใช้เวลาบนถนน ในรถมาก เพราะถ้าอยู่ในเมืองเสียเวลา กลับบ้านมืด ไม่ได้เล่น ทำการบ้านดึก อยากให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุขแบบเด็ก ๆ
คุณเต้: ในเชิงวิชาการก็สำคัญแต่เรื่องนโยบายความสะอาดก็สำคัญเหมือนกันนะ อย่างถ้าเด็กไม่สบายเป็นมือเท้าปากก็มีนโยบายที่ชัดเจนแบบให้หยุดเรียนไปโลด หรือเวลาเราเดินเข้าโรงเรียนแล้วสูดอากาศเข้าไปรู้สึกว่ากลิ่นสะอาดก็โอเคครับ
รับมืออย่างไรกับการพาลูกไปโรงเรียนวันแรก?
คุณเต้: วันแรกที่ลูกไปโรงเรียน เรารู้ว่ายังไงลูกก็กลัว ร้องไห้แน่เลย เลยไปเบิกชุดนักเรียนมาจากออฟฟิส พอลูกเห็นลูกก็ถามว่านี่ชุดอะไรอะแดดดี้ ชุดนักเรียนไงลูก แดดดี้จะไปเรียน งั้นขอหนูไปด้วยสิ พอก้าวเข้าประตูโรงเรียน เด็กแต่ละคนร้องไห้เสียงดัง ลูกงง ว่าเด็กคนอื่น ๆ ร้องไห้ทำไม พอเดินไปก็เจอเด็กคนอื่น ๆ ร้องไห้อีกแล้ว เราก็บอกลูกว่า ลูกดูไว้นะ เด็กพวกนี้โดนทิ้ง เพราะพ่อแม่เขาเอาว่าไว้ตรงนี้แล้วก็ต้องไปทำงาน แต่แดดดี้จะอยู่กับหนูนะ จากนั้นเราก็ขึ้นไปห้องเรียนด้วยกัน คนก็งงว่าเอ๊ทำไมคนนี้ถึงใส่ชุดนักเรียนมาส่งลูก พอเข้าห้องเรียนก็ลองนั่งเก้าอี้ดู แล้วเราก็พึมพำกับลูกว่า อ้าวทำไมเก้าอี้มันตัวเล็กจัง อ้าวนี่มันห้องเด็กนี่ ห้องแดดดี้อยู่ห้องเด็กโตซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม งั้นถ้าลูกมีอะไรลูกก็ไปเรียกแดดดี้ที่นั่นแล้วกัน พอตอนเย็นพี่แอนมารับ แองเคอร์ก็บอกว่าหม่ามี้ยังไม่ได้รับแดดดี้เลยครับ แต่จริง ๆ แดดดี้ออกไปทำธุระแล้ว
อะไรคือสิ่งที่ครอบครัวนี้กลัวที่สุด อ่านต่อหน้าถัดไป >>>
คุณแอนและน้องแอเรียล
คาดหวังอะไรกับลูก?
คุณเต้: ผมและแอนคาดหวังให้ลูกอยู่ได้โดยไม่มีเราถือเป็นจุดสำคัญ หลายคนบอกว่าลูกไม่ต้องทำอะไร แต่ไม่ได้ ลูกบ้านนี้ต้องรับหน้าที่ อย่างน้องคนเล็กใครจะรับหน้าที่อะไร ใครจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ อย่างลูกคนที่ 3 (ทั้งที่พูดไม่ชัด) บอกว่าเดี๋ยวจะร้องเพลงให้น้องฟัง ถ้าแดดดี้บอกให้ทำอะไรต้องทำ เพราะเราเป็นครอบครัวใหญ่ เราพยายามให้เขามีความรับผิดชอบในตัวเอง โดยเราจะวางระบบไว้ เช่น ลูกคนโตต้องยกฝาชักโครกเวลาเข้าห้องน้ำ ผมเชื่อว่าลูกก็จะมีวินัยในระดับหนึ่ง โดยเราเริ่มฝึกตอนลูกพูดรู้เรื่อง
สิ่งที่กลัวที่สุดในการเลี้ยงลูก?
คุณเต้: กลัวที่สุด คือกลัวว่าลูกจะรับเอาพฤติกรรมที่ไม่ดีของเราไป เช่น ผมเป็นคนติดพูดคำหยาบ บางทีเราไม่ได้ระวังเรื่องความสะอาด เช่น ลูกชิ้นหล่นออกมานอกจานแล้วเราเผลอหยิบขึ้นมากิน หรือปกติอยู่บ้านเราอยากนอนไหนเราก็นอนได้ นอนได้ทุกที่ ตอนนี้ลูกคนที่ 3 ชอบนอนที่พรมเช็คเท้า เพราะมันนุ่น แต่ผมก็คาดหวังว่าลูกจะได้รับสิ่งดี ๆ ของเราไป
คุณแอน: สิ่งที่กลัวในการเลี้ยงลูกของแอนไม่มีนะคะ แต่จะเป็นในรูปแบบของความกังวลมากกว่า อย่างเวลากินข้าว หรือเวลาที่ลูกไม่สบาย เพราะกลัวเป็นหนัก
ความสุขการเลี้ยงลูกคืออะไร?
คุณเต้: มีความสุขที่สุดคือ ชอบที่สุดการได้สอนลูก ลูกได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ทั้งประสบการณ์ชีวิต ความรู้แนววิชาการต่าง ๆ
คุณแอน: แค่คิดถึงวันที่เราเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิตแค่นี้ก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ
อยากฝากอะไรถึงพ่อแม่มือใหม่?
คุณแอน: การหาข้อมูลก็ดีเพราะช่วยให้เรามีความรู้มากขึ้น แต่ถ้าข้อมูลเยอะเกินไปจนเราเครียดก็ไม่ควร เด็กแต่ละคนต่างกัน พ่อแม่ก็จะเรียนรู้ไปกับลูกเอง ขอแค่เรามีความสุข ลูกมีความสุขก็พอ
คุณเต้: ผมเชื่อว่าการเลี้ยงลูกไม่มีหลักสูตรที่ตายตัวเพราะเด็กแต่ละคนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน จนเราไม่สามารถหาขั้นตอนที่ชัดเจนมาเป็นแบบแผนการเลี้ยงลูกได้ เราต้องนำมาประยุกต์เอา ถ้าเรามั่นใจว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องใครจะมาว่าอะไรเราก็แค่ฟังหูไว้หู แต่ผมเชื่อว่าช่วงวัยก่อนเข้าโรงเรียน การเลี้ยงดูที่บ้านสำคัญมากครับ
เลี้ยงลูกสไตล์คุณแม่งานเยอะ กับ “ฮันนี่ ชลพรรษา นารูลา”