RSV ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ระบาดหนัก! เช็กด่วน อาการต่างกัน สังเกตยังไง?
RSV ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ระบาดหนัก! วิธีเช็กอาการให้รู้ทัน เทียบกันชัดๆ 3 โรคนี้ อาการต่างกันยังไง ป้องกันลูกน้อยก่อนป่วยหนัก
หน้าฝนปีนี้ไม่ธรรมดาค่ะ! เด็กเล็กตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เมื่อ 3 โรคใหญ่ กำลังระบาดหนัก—RSV พุ่งกว่า 16,000 ราย เด็กเล็กเสียชีวิตแล้ว 2 ราย, ไข้หวัดใหญ่ทะลุ 550,000 ราย เสียชีวิต 59 ราย และไข้เลือดออกกว่า 43,000 ราย เสียชีวิต 36 ราย เตือนพ่อแม่ห้ามประมาท เฝ้าระวังใกล้ชิด! โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และเด็กวัยเรียน เพราะอาการอาจคล้ายกันแต่แนวทางรักษาและความเสี่ยงต่างกันมาก
ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคฯ รายงานสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม 2568
- ไข้หวัดใหญ่: ป่วยกว่า 555,074 ราย (ส่วนใหญ่กลุ่มอายุ 5-9 ปี) เสียชีวิต 59 ราย
- RSV: ป่วย 16,145 ราย (ส่วนมากเด็กเล็ก 0-4 ปี) เสียชีวิต 2 รา
- ไข้เลือดออก: ป่วย 43,500 ราย เสียชีวิต 36 ราย
บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่รู้จักอาการของแต่ละโรค เปรียบเทียบว่าต่างกันยังไง วิธีเช็กอาการ RSV ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก วิธีดูแลเบื้องต้นที่บ้าน สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพาไปพบแพทย์ พร้อมแนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้ถึงอาการรุนแรง
สารบัญ
รู้จัก RSV / ไข้หวัดใหญ่ / ไข้เลือดออก
RSV (Respiratory Syncytial Virus)
RSV คือเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจที่มักระบาดในช่วงหน้าฝนและหน้าหนาว เชื้อนี้มีทั้งสายพันธุ์ A และ B สามารถทำให้เด็กมีอาการไอ มีเสมหะ หายใจมีเสียงหวีด และบางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นปอดอักเสบ กลุ่มที่ต้องระวังมากที่สุดคือ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2–3 ปี เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงพอ และทางเดินหายใจยังเล็ก ทำให้อาการทรุดเร็ว
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza A หรือ B เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ติดต่อกันง่ายมากผ่านละอองไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของปนเปื้อน เชื้อนี้ทำให้เกิดไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดเมื่อยตัว และอ่อนเพลีย เด็กทุกวัยสามารถติดได้ แต่ที่พบจำนวนมากที่สุดในไทยคือ เด็กวัยเรียนอายุ 5–9 ปี ซึ่งมักอยู่ในที่แออัด เช่น โรงเรียน ทำให้เชื้อแพร่กระจายง่าย
ไข้เลือดออก (Dengue Fever)
ไข้เลือดออกเป็นโรคที่เกิดจาก เชื้อไวรัสเดงกี่ มีพาหะคือยุงลาย (Aedes aegypti และ Aedes albopictus) เด็กที่ป่วยมักมีไข้สูงลอยต่อเนื่อง 2–7 วัน และบางรายอาจเข้าสู่ระยะอันตราย มีภาวะเลือดออก หรือแม้กระทั่งภาวะช็อกได้ กลุ่มเสี่ยงที่พบมากคือ เด็กและวัยรุ่น รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนที่มีแหล่งน้ำขัง ยุงลายแพร่พันธุ์ได้ง่าย

ตารางเปรียบเทียบ อาการ RSV ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันยังไง
อาการสำคัญ | RSV | ไข้หวัดใหญ่ | ไข้เลือดออก |
| ไข้ | ไข้สูง บางรายอาจไข้ต่ำ แต่เป็นต่อเนื่อง | ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น | ไข้สูงลอย 2–7 วัน ไม่ตอบสนองยาลดไข้ |
| ระบบทางเดินหายใจ | ไอ มีเสมหะ หายใจมีเสียงหวีด หอบ เหนื่อย | ไอแห้ง เจ็บคอ คัดจมูก | โดยทั่วไปไม่เด่นเรื่องไอ อาจมีอ่อนเพลียร่วม |
| อาการร่วม | กินนม/อาหารได้น้อย ซึม อ่อนแรง | ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลียมาก | หน้าแดง ตาแดง จุดเลือดออกตามตัว เลือดกำเดา |
| สัญญาณอันตราย | หอบเหนื่อย ปีกจมูกบาน ซี่โครงบุ๋ม | ไข้สูงไม่ลด อาเจียนมาก หอบเหนื่อย | ปวดท้องมาก อาเจียนเป็นเลือด มือเท้าเย็น ซึม ช็อก |
วิธีดูแลลูกเบื้องต้นที่บ้าน เมื่อสงสัย 3 โรคฮิต
ถ้าคุณแม่สังเกตเห็นอาการของลูกที่น่าสงสัยว่าจะเป็น RSV ไข้หวัดใหญ่ หรือ ไข้เลือดออก สิ่งสำคัญที่สุดคือควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาที่ถูกต้องนะคะ ส่วนการดูแลเบื้องต้นที่บ้าน เป็นการช่วยประคองอาการไม่ให้รุนแรงขึ้น และช่วยให้การรักษาของคุณหมอได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้ค่ะ
1. RSV
- พักผ่อน: ให้ลูกพักผ่อนเยอะๆ งดกิจกรรมที่ต้องออกแรง หรือวิ่งเล่นซน
- ดื่มน้ำ: คอยป้อนน้ำหรือนมบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
- ช่วยให้หายใจโล่ง:
- ในเด็กเล็ก อาจต้องช่วยดูดน้ำมูกหรือเสมหะออก
- จัดห้องให้อากาศถ่ายเทสะดวก
- อาจใช้เครื่องทำความชื้นในอากาศ เพื่อช่วยให้ลูกหายใจสบายขึ้น
- สังเกตอาการใกล้ชิด: ถ้าลูกเริ่มหายใจหอบเหนื่อย ริมฝีปากเริ่มคล้ำ หรือหายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที
2. โรคไข้หวัดใหญ่
- พักผ่อน: ให้ลูกพักผ่อนอยู่บ้านเต็มที่ หยุดเรียน และหลีกเลี่ยงการไปในที่ที่คนเยอะ
- ดื่มน้ำและอาหาร: เน้นให้ดื่มน้ำมากๆ และให้กินอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย
- ยาลดไข้: ให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ตามคำแนะนำของแพทย์ (ควรเลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน หากลูกมีความเสี่ยง)
- สังเกตอาการใกล้ชิด: ถ้าอาการดูแย่ลง เช่น หายใจลำบาก ดูซึมมาก หรือไม่ยอมกินอะไรเลย ควรพาไปพบแพทย์ซ้ำ
3. โรคไข้เลือดออก
- ดื่มน้ำ: ให้ลูกจิบน้ำเปล่า หรือ น้ำเกลือแร่ (ORS) บ่อยๆ สำคัญคือต้องค่อยๆ จิบทีละน้อย เพื่อป้องกันการขาดน้ำและช่วยลดอาการอาเจียน
- ยาลดไข้:
- ให้ได้เฉพาะ “พาราเซตามอล” เท่านั้น
- ห้ามเด็ดขาด: ห้ามให้ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพราะยา 2 กลุ่มนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกง่ายและรุนแรงขึ้น
- เช็ดตัว: เมื่อลูกไข้สูง ให้ใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวเพื่อช่วยระบายความร้อน
- พักผ่อน: ให้ลูกพักผ่อนมากๆ และกินอาหารอ่อนๆ
- สังเกต “สัญญาณอันตราย”: หากลูกมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที
- ปวดท้องรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา
- อาเจียนบ่อยครั้ง หรืออาเจียนไม่หยุด
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำ
- มีอาการซึมลง มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อยลง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากมีอาการน่าเป็นห่วงหรือไม่แน่ใจ ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
วิธีดูแลและป้องกันลูกรักให้ห่างไกลโรคหน้าฝน
หน้าฝนมาพร้อมกับความชื้น ซึ่งอาจนำโรคภัยไข้เจ็บมาสู่ลูกได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงเต็มที่ หรือยังได้รับวัคซีนไม่ครบ การเฝ้าระวังและดูแลป้องกันตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกรักจะป่วยได้มากเลยค่ะ
1. เน้นสุขอนามัยพื้นฐานเป็นหลัก
- ล้างมือให้ติดเป็นนิสัย: หมั่นล้างมือให้ลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือถ้าไม่สะดวก ให้ใช้เจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อแทน
- เลี่ยงการสัมผัสคนป่วย: พยายามให้ลูกอยู่ห่างจากคนที่มีอาการป่วย โดยเฉพาะคนที่มีอาการไอ หรือจาม
- ใส่หน้ากากอนามัย: หากมีคนในบ้านป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ควรสวมหน้ากากอนามัยเวลาที่ต้องพูดคุยกัน หรือเวลาไอ/จาม เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
2. ดูแลความสะอาดในบ้านและของใช้
- เช็ดถูจุดสัมผัสร่วม: หมั่นทำความสะอาดของเล่น, มือจับประตู, ลูกบิด, โต๊ะเก้าอี้ หรือจุดที่เด็กๆ สัมผัสบ่อยๆ
- จัดบ้านให้อากาศถ่ายเท: ดูแลความสะอาดภายในบ้านอยู่เสมอ และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้ดี เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
3. เสริมเกราะป้องกันด้วยวัคซีน
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่: แนะนำให้ฉีดเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
- วัคซีน RSV: ปัจจุบันในไทยอาจยังไม่แพร่หลายเท่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะบุคคล
- วัคซีนไข้เลือดออก: มีวัคซีนสำหรับทั้งคนที่เคยเป็นและยังไม่เคยเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสม
4. ป้องกันยุงลาย (พาหะไข้เลือดออก)
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์: สำรวจรอบบ้านและกำจัดแหล่งน้ำขังที่ยุงสามารถไปวางไข่ได้
- ป้องกันการโดนกัด: ติดตั้งมุ้งลวด หรือกางมุ้งให้ลูกเวลานอน
- ใช้ผลิตภัณฑ์กันยุง: เลือกใช้โลชั่นหรือสเปรย์กันยุง ที่มีสูตรอ่อนโยนและปลอดภัยสำหรับเด็ก
สรุปให้คุณแม่จำง่าย ๆ
-
อาการ RSV สังเกต ระบบทางเดินหายใจเด่นมาก (ไอมาก เสียงหวีด หอบ)
-
อาการไข้หวัดใหญ่ สังเกต ไข้เฉียบพลัน อาการทั่วตัว เหมือนไข้สูง แต่อาการทางเดินหายใจอาจไม่รุนแรงเท่า RSV ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
-
อาการไข้เลือดออก สังเกต ไข้สูงลอย + ผื่น + อาการเลือดออก + ปวดท้อง + ระยะวิกฤตเมื่อไข้เริ่มลดลง
ถ้าเจอสัญญาณอันตราย อย่ารอช้า พาไปโรงพยาบาลทันทีนะคะ เพราะเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ
ได้รับการตรวจสอบข้อมูลโดย นพ. ชัยวัฒน์ เชื้อพันธุ์ แพทย์ หู คอ จมูก ภูมิแพ้

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วิธีแก้ลูกหายใจครืดคราด: สาเหตุ อาการ สัญญาณอันตราย และสิ่งที่พ่อแม่ควรรู้
ข่าวดี! วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก ทางเลือกใหม่ ประสิทธิภาพสูง ลูกไม่ต้องเจ็บตัว
วิธีเคาะปอด ระบายเสมหะ ช่วยลูกหายใจโล่ง (มีคลิป) ทำตามได้เลย!
แหล่งอ้างอิง
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข — ข้อมูล RSV และแนวทางเฝ้าระวังในประเทศไทย
- WHO — Fact sheet dengue & severe dengue
- CDC — Signs and Symptoms of Flu; Symptoms of Dengue; Data on respiratory viruses
- Cleveland Clinic — dengue fever symptoms & warning signs
- ไข้เลือดออกระบาดหนัก! ปีนี้ป่วย 43,000 เสียชีวิต 36 โคราชเด็ก-วัยรุ่นเสี่ยงสุด – Line Today
- RSV ป่วยพุ่ง 1.6หมื่น เด็กเล็กดับ2 ไข้หวัดใหญ่ ระบาดหนัก ดับแล้ว59 – MSN
