อุทาหรณ์คนรักสัตว์! เด็กชายวัย 6 ขวบ "หัวล้านถาวร" เพราะ ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง
แพทย์จีนเตือน หลังพบเคสเด็กชายวัย 6 ขวบ ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง จนเกิดโรคกลากบนหนังศีรษะ ผมร่วงเป็นหย่อม และทิ้งแผลเป็นถาวรไปตลอดชีวิต
แพทย์จีนเตือน ภัยใกล้ตัวเด็ก ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง แสนรัก หลังพบเคสเด็กชายวัย 6 ขวบติดเชื้อราจากกระต่ายที่เลี้ยงไว้จนเกิดโรคกลากบนหนังศีรษะ ผมร่วงเป็นหย่อม และทิ้งแผลเป็นถาวรไปตลอดชีวิต แนะผู้ปกครองหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของสัตว์เลี้ยงและสอนบุตรหลานให้ล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส
สารบัญ
เด็กชายวัย 6 ขวบหัวล้านถาวร เพราะ ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง
สื่อท้องถิ่นในมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน รายงานเรื่องราวอุทาหรณ์ของเด็กชายวัย 6 ขวบ ที่ติดเชื้อราบนหนังศีรษะ หลังจากสัมผัสและเล่นกับกระต่ายที่ครอบครัวเลี้ยงไว้เป็นประจำ การ ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง ทำให้เกิดอาการโรคกลากและผมร่วงเป็นหย่อมอย่างรุนแรง แม้จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจนบาดแผลส่วนใหญ่หายดีแล้ว แต่การติดเชื้อได้ทำลายรูขุมขนบางส่วนอย่างถาวร ส่งผลให้เด็กชายมีแผลเป็นและผมไม่สามารถขึ้นมาใหม่ได้อีกในบริเวณดังกล่าว กลายเป็นความเสียใจที่ต้องหัวล้านไปตลอดชีวิต
ทีมแพทย์ผู้รักษาได้ออกมาให้ข้อมูลว่า เชื้อราที่พบบนหนังสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสัตว์ขนาดเล็กอย่างกระต่าย สามารถแพร่สู่คนได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง หากเชื้อราดังกล่าวติดบนหนังศีรษะและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจลุกลามจนเกิดการอักเสบรุนแรงเป็นฝีหนอง และทำลายรูขุมขนอย่างถาวรได้
(ภาพจาก Weibo)
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ ติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น โดยย้อนไปเมื่อปี พ.ศ. 2564 เคยมีกรณีคล้ายกันในมณฑลหูหนาน เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งมีผื่นขาวบนศีรษะซึ่งต่อมากลายเป็นตุ่มหนองและผมร่วงเป็นหย่อมๆ หลังจากพาลูกสาวไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นฝีหนองจากเชื้อรา และเมื่อซักประวัติเพิ่มเติมก็พบว่าน้องชายของเด็กหญิงก็มีอาการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งท้ายที่สุดแพทย์สรุปว่าพี่น้องทั้งสองติดเชื้อรามาจากกระต่ายที่เลี้ยงไว้ที่บ้านเช่นกัน
นายแพทย์หลัว หยางหยาง รองหัวหน้าแพทย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเด็กหูหนาน เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ประมาณ 80% ของผู้ป่วยเด็กที่เป็นฝีหนองจากเชื้อรา มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับกระต่าย ส่วนน้อยพบว่าติดมาจากสุนัข เนื่องจากเชื้อราชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีในขนสัตว์ การสัมผัสโดยตรง ไม่ว่าจะผ่านการกอด อุ้ม หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง จึงเป็นช่องทางหลักในการแพร่เชื้อมาสู่คน
กรณีที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับผู้ปกครองที่เลี้ยงสัตว์ในบ้าน ให้ตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคติดเชื้อผิวหนังที่มาจากสัตว์เลี้ยง และเพิ่มความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานนะคะ
โรคติดเชื้อผิวหนังที่มาจากสัตว์เลี้ยง
โรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน (Zoonotic Disease) ไม่ได้มีเพียงแค่เชื้อรา แต่ยังมีเชื้อโรคอีกหลายชนิดที่อาจแฝงมากับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราได้ โดยโรคผิวหนังถือเป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยที่สุด
เพื่อความเข้าใจและเฝ้าระวัง มาทำความรู้จักโรคผิวหนัง 3 กลุ่มหลักที่สามารถติดต่อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้กันค่ะ
1. โรคติดเชื้อรา (โรคกลาก)
เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในสัตว์เลี้ยงมีขน เช่น สุนัข แมว โดยเฉพาะกระต่ายและแฮมสเตอร์ สัตว์บางตัวอาจไม่แสดงอาการแต่เป็นพาหะของเชื้อราได้ หากติดเชื้อที่ผิวหนัง จะเกิด ผื่นแดงเป็นวง มีขุย และคัน ที่เรียกว่า “กลาก” แต่หากติดเชื้อบนหนังศีรษะ (ซึ่งพบบ่อยในเด็ก) จะทำให้ ผมร่วงเป็นหย่อม ผิวหนังอักเสบ หรืออาจเกิดตุ่มหนองรุนแรงจนทำลายรากผมถาวรได้ เหมือนในกรณีที่เป็นข่าว

2. โรคติดเชื้อแบคทีเรีย
มักติดผ่านการสัมผัสน้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระ หรือแผลติดเชื้อของสัตว์เลี้ยง ทำให้เกิดผื่นแดงคัน ตุ่มน้ำพอง หรือกลายเป็นตุ่มหนองคล้ายแผลพุพอง ซึ่งสามารถกระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้
3. โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง
เกิดจากตัวอ่อนพยาธิปากขอที่ปนเปื้อนมากับอุจจาระของสุนัขหรือแมวในดิน เมื่อเราเดินเท้าเปล่าหรือสัมผัสกับดินที่มีเชื้อ ตัวอ่อนพยาธิจะไชเข้าสู่ผิวหนัง เกิดรอยโรคเป็น เส้นนูนแดงคดเคี้ยว ไปตามการเคลื่อนที่ของพยาธิใต้ผิวหนัง และมีอาการคันมาก
ข้อควรระวังและคำแนะนำจากแพทย์
เพื่อให้เราและสัตว์เลี้ยงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย แพทย์ได้แนะนำข้อควรปฏิบัติสำหรับครอบครัวที่เลี้ยงสัตว์ ดังนี้
- หมั่นสังเกตสุขภาพสัตว์เลี้ยง: หากพบความผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ขนร่วงเป็นหย่อม มีผื่นแดง หรือมีสะเก็ด ควรแยกสัตว์ออกจากเด็กและรีบพาไปพบสัตวแพทย์
- ล้างมือทุกครั้ง: สอนให้ทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะเด็กๆ ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสหรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง ไม่ทานอาหาร หรือดื่มน้ำทันทีหลังจากสัมผัสกับสัตว์
- หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดเกินไป: เช่น ไม่ให้สัตว์เลี้ยงเลียหน้า ปาก หรือนอนบนเตียงเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อโดยตรง
- พาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพ: การฉีดวัคซีนและตรวจสุขภาพประจำปีกับสัตวแพทย์จะช่วยคัดกรองโรคต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
บ้านไหนเลี้ยงกระต่าย เช็กด่วน 6 โรคและอาการแพ้ที่อาจติดสู่ลูกน้อยได้
พ่อคุณแม่รู้ไหมคะว่า ภายใต้ความน่ารักของน้องกระต่ายขนปุยนั้น ก็มีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพบางอย่างที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะมีบางโรคที่สามารถติดต่อจากน้องกระต่ายมาสู่คนในครอบครัว โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง จะมีโรคอะไรบ้าง มาเช็กกันเลย!
1. โรคเชื้อราที่ผิวหนัง (กลาก)
โรคฮิตที่พบบ่อยที่สุด! เกิดจากเชื้อราที่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับน้องต่ายที่ป่วย หรือแม้แต่การจับกรงหรือของเล่นที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการที่ต้องสังเกต: ทั้งในคนและกระต่ายจะคล้ายกันเลยค่ะ คือ ผิวหนังเป็นผื่นแดงรูปวงแหวน มีขุย คัน และขนหรือผมร่วงเป็นหย่อมๆ ถ้าลูกน้อยมีอาการแบบนี้หลังเล่นกับกระต่าย ต้องรีบพาไปหาหมอเลยนะคะ
2. โรคพาสเจอร์เรลโลซิส (โรคติดเชื้อจากแผล)
เชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อาศัยอยู่ในปากและจมูกของน้องต่ายเป็นปกติอยู่แล้ว แต่จะก่อเรื่องเมื่อลูกน้อยโดนกัดหรือข่วน
อาการที่ต้องสังเกต: บริเวณแผลจะ บวมแดง อักเสบ หรือกลายเป็นฝีหนอง หากปล่อยไว้อาจติดเชื้อในกระแสเลือดได้เลยค่ะ อันตรายมากๆ ต้องรีบล้างแผลให้สะอาดและไปพบแพทย์ทันที
3. ภาวะภูมิแพ้ (Allergy)
อันนี้ไม่ใช่โรคติดเชื้อ แต่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากค่ะ เด็กๆ (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) อาจแพ้โปรตีนในขน น้ำลาย หรือปัสสาวะของน้องกระต่ายได้
อาการที่ต้องสังเกต: หากลูกมีอาการ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ตาแดง หรือมีผื่นคัน ทุกครั้งที่เข้าใกล้น้องต่าย อาจเป็นสัญญาณของอาการแพ้ได้ค่ะ

4. โรคไข้กระต่าย (Tularemia)
ชื่ออาจจะน่ากลัว และเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง แต่ในไทยพบได้น้อยมากๆ ค่ะ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อได้หลายทาง ทั้งจากการสัมผัสสัตว์ป่วยโดยตรง หรือโดนเห็บหมัดกัด
อาการที่ต้องสังเกต: ผู้ที่ติดเชื้อจะมี ไข้สูง ปวดหัวรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ
5. โรคคริปโตสปอรอดิโอซิส (โรคท้องร่วง)
เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่ปนเปื้อนมากับอุจจาระของน้องต่าย หากลูกน้อยเผลอเอามือที่เปื้อนเชื้อเข้าปาก ก็อาจติดโรคนี้ได้
อาการที่ต้องสังเกต: อาการหลักๆ เลยคือ ท้องเสีย ค่ะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมการล้างมือหลังจับน้องต่ายหรือทำความสะอาดกรงจึงสำคัญมากๆ
6. โรคไมโคแบคทีริโอซิส
เป็นโรคจากเชื้อแบคทีเรียอีกกลุ่มหนึ่งที่ติดต่อได้จากการหายใจเอาเชื้อเข้าไป หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของกระต่ายที่ป่วย
อาการที่ต้องสังเกต: อาการจะหลากหลายค่ะ อาจทำให้เกิดแผลหลุมที่ผิวหนัง หรือติดเชื้อในอวัยวะภายในได้
เคล็ดลับเลี้ยงน้องต่ายให้ปลอดภัยทั้งครอบครัว
- ล้างมือคือพื้นฐาน: สอนให้ลูกน้อยล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังเล่นหรือสัมผัสน้องกระต่าย
- หมั่นเช็กสุขภาพน้องต่าย: สังเกตผิวหนังและขนของกระต่ายอยู่เสมอ หากมีขนร่วงเป็นหย่อมหรือมีแผล ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
- ทำความสะอาดกรงสม่ำเสมอ: รักษาความสะอาดที่อยู่ของน้องต่าย เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค
- สอนลูกเล่นให้ถูกวิธี: ไม่แกล้ง ไม่ทำให้น้องต่ายตกใจจนโดนข่วนหรือกัด
- ไม่หอม ไม่จุ๊บ: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดบริเวณใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงภูมิแพ้และการรับเชื้อโรคต่างๆ
ท้ายที่สุดแล้ว การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจกรรมที่ดีที่ช่วยสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบและอ่อนโยน เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเรื่องความสะอาดและสุขอนามัยอีกนิด ก็สามารถมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงในบ้านได้อย่างไร้กังวลแล้วค่ะ
ที่มา : ctwant , คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามโรคจากสัตว์ป่า สัตว์ต่างถิ่นและสัตว์อพยพ (MoZWE)
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เป็นภูมิแพ้เลี้ยงแมวได้ไหม การเลี้ยงแมวจะทำให้ ภูมิแพ้กำเริบหรือเปล่า?
อากาศชื้น ระวัง! ลูกน้อยเสี่ยงเป็น เชื้อราแมว
หมาพันธุ์ไหนเหมาะกับเด็ก ? รวม 10 สุนัขที่เหมาะกับครอบครัว สุดแสนจะน่ารัก