คุณพ่อคุณแม่ทราบกันหรือไม่คะว่า อะไรคือสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กไทยมากที่สุด … ถูกต้องแล้วละค่ะ สาเหตุการจมน้ำเสียชีวิตนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเกิดจากสระน้ำ สวนน้ำ ทะเล บ่อน้ำใกล้บ้าน หรือแม้แต่กะละมังอาบน้ำที่เราปล่อยให้ลูกเล่นลำพัง
ข้อมูลจากสำนักโรคไม่ติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้สรุปสถานการณ์การตกน้ำหรือจมน้ำของเด็ก พบว่า จากทั่วโลกกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเสียชีวิตจากการตกน้ำหรือจมน้ำ ปีละไม่ต่ำกว่า 135,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 372 คน ส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนปีละไม่ต่ำกว่า 32,000 คน เฉลี่ยวันละ 90 คน
ในขณะที่ประเทศไทยของเราเองนั้น มีเด็กที่เสียชีวิตจากการจมน้ำมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว 5-15 เท่าตัว ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทยที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี หากเทียบกับการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่น ๆ จะสูงกว่าอุบัติเหตุจราจรประมาณสองเท่าตัว และมากกว่าไข้จากไวรัสที่มีแมลงเป็นพาหะและไข้เลือดออกถึง 24 เท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด รองลงมาคือภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ จังหวัดนครราชสีมา กรุงเทพมหานคร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุดรธานี และขอนแก่น มีจำนวนการเสียชีวิตมากที่สุด
ในขณะที่ช่วงปิดภาคการศึกษาฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม) มีเด็กตกน้ำหรือจมน้ำ สูงถึงเกือบ 500 คน แหล่งน้ำที่มีเด็กเสียชีวิตจากการตกน้ำจมน้ำสูงสุดคือ แหล่งน้ำธรรมชาติ (ร้อยละ 49.9) รองลงมาคือสระว่ายน้ำ (ร้อยละ 5.4) และอ่างอาบน้ำ (ร้อยละ 2.5)
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันมานี้ ที่ต้องสูญเสียลูกถึง 3 คนจากสาเหตุการจมน้ำภายในบึงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม
จากการสอบถาม นางสาวบุหงา อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นแม่ของเด็กทั้ง 3 เล่าว่า ตนเองมีลูกทั้งหมด 5 คน น้องทั้งสามที่จมน้ำเสียชีวิต ชื่อ น้องกาญ อายุ 9 ปี น้องบีม อายุ 7 ปี และ น้องแพรวา อายุ 2 ปี โดยเมื่อช่วงเวลาประมาณสิบโมงเช้าของวันที่ 3 พฤษภาคม ได้พาเด็กทั้ง 3 และหลานชายอีก 1 คน ไปเก็บบัว ที่บึงคันชา เพื่อเตรียมนำไปขายที่ตลาด ซึ่งทุกครั้งที่ไปเก็บบัว เด็ก ๆ ก็จะพากันเล่นอยู่บนคันดิน ซึ่งสูงจากบึงน้ำประมาณ 3 เมตร โดยแม่ได้ลงไปเก็บบัวในบึงน้ำ ต่อมาหลานชายได้เจอปลาช่อนตัวใหญ่ขนาดเท่าต้นขาหนึ่งตัว จึงได้ตะโกนว่าตนเองได้ปลาช่อนตัวใหญ่ จึงได้นำไปใส่ไว้ในถุงปุ๋ย จากนั้นไม่นานตนก็ขึ้นจากน้ำแต่กลับไม่พบลูกทั้งสามคนจึงได้ออกตามหา
พอดีมีคนในหมู่บ้านผ่านมาจึงได้ร้องเรียกให้ช่วยเหลือ ต่อมาก็พบน้องแพรวา ลูกสาววัย 2 ขวบ ลอยขึ้นมาจากน้ำ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้รีบมาช่วยปั๊มหัวใจ จากนั้นก็พบน้องบีม ลูกสาววัย 7 ขวบ ส่วนน้องกาญ ลูกสาววัย 9 ขวบ ต้องให้นักประดาน้ำช่วยงมหาพบอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 3 เมตร ซึ่งทั้งหมดเสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวส่งที่โรงพยาบาลโกสุมพิสัย โดยตนไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับลูกของตน เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเด็กทั้งสามเสร็จ ก็ได้เรียกให้พ่อกับแม่มาเรียกน้องกลับบ้าน ซึ่งทั้งพ่อและแม่ก็ต่างร้องไห้ เรียกชื่อน้องกาญ น้องบีม และน้องแพรวากลับบ้าน เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น โดยศพเด็กทั้งสามจะตั้งสวดอภิธรรมที่วัดใต้ชัยมงคล หมู่ 14 บ้านแพง ต.แพง อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ก่อนทำการฌาปนกิจต่อไป
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้เสนอมาตราการป้องกันการจมน้ำ โดยมุ่งเน้นไปยัง 2 กลุ่มสำคัญได้แก่
1. มาตรการป้องกันการจมน้ำในเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 5 ปี) คือ“เทน้ำ กั้นคอก ปิดฝา เฝ้าดูตลอดเวลา” ดังนี้ เทน้ำทิ้งหลังใช้งาน ฝัง/กลบหลุมหรือร่องน้ำที่ไม่ได้ใช้งาน, กั้นคอก จัดให้มีสถานที่เล่นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กซึ่งห่างไกลจากแหล่งน้ำ โดยมีลักษณะแบบคอกกั้นเด็ก มีรั้วล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ในทุกครัวเรือนที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีควรใช้คอกกั้นเด็ก เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันเด็กเล็กจมน้ำแล้ว ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากสาเหตุอื่นๆ เช่น รถทับ ไฟฟ้าช็อต พลัดตกหกล้ม โดยเฉพาะเมื่อผู้ปกครองทำกิจกรรมอื่นๆชั่วคราว ซึ่งคอกกั้นเด็กสามารถทำได้เองง่าย เช่น ไม้ไผ่ ท่อพีวีซี เป็นต้น ปิดฝาภาชนะใส่น้ำ กะละมัง โอ่งน้ำ ตุ่มน้ำ เฝ้าดูตลอดเวลาไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังแม้เพียงชั่วขณะ ที่สำคัญเปลี่ยนความคิดว่าคอกกั้นเด็กคือที่ขังเด็ก เพราะเราไม่ได้นำเด็กไว้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวตลอดเวลา เพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เราติดภารกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเสี้ยวนาทีชีวิตของลูกหลาน
2. มาตรการป้องกันการจมน้ำในเด็กโต (อายุมากกว่า 5 ปี) คือ“ลอยตัว ชูชีพ ช่วยเหลือ ปฐมพยาบาล” ดังนี้ ลอยตัว สอนให้เด็กรู้วิธีการเอาชีวิตรอดในน้ำเมื่อตกน้ำ โดยการลอยตัวเปล่าหรือลอยตัวโดยใช้อุปกรณ์ช่วย, ชูชีพ สอนให้ประชาชนและเด็กรู้จักกฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง ไม่ว่ายน้ำคนเดียว ไม่แกล้งจมน้ำ ไม่ดื่มสุรา รวมถึงการใช้ชูชีพทุกครั้งที่เดินทางทางน้ำ, ช่วยเหลือ สอนให้เด็กรู้จักวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง โดยการ “ตะโกน โยน ยื่น” (ตะโกน : เรียกให้ผู้ใหญ่มาช่วย และโทร 1669 โยน : อุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือคนตกน้ำ เช่น ขวดน้ำพลาสติก ห่วงชูชีพ อุปกรณ์ที่ผูกเชือก ยื่น : ไม้ เสื้อ กางเกง เข็มขัด เพื่อช่วยเหลือคนตกน้ำ), ปฐมพยาบาล สอนและฝึกปฏิบัติให้ประชาชนและเด็กรู้วิธีการปฐมพยาบาลคนจมน้ำที่ถูกต้อง โดยห้ามจับเด็กอุ้มพาดบ่า แล้วกระแทกเพื่อเอาน้ำออก
ขอบคุณที่มา: Sanook ผู้จัดการรายวัน สำนักโรคไม่ติดต่อ / สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรคและ สสส.
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ระวังให้ดีลูกหาย! โค้งสุดท้ายก่อนเปิดเทอม
สวนสนุกคร่าชีวิตกับ 7 อุบัติเหตุที่เกิดจากเครื่องเล่น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!