สองปีที่ผ่านมา การจำหน่ายน้ำนมแม่ในประเทศกัมพูชาเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอย่างมาก จนรัฐบาลออกคำสั่ง นมแม่ห้ามขาย หรือส่งออกนมจากเต้าไปขายยังต่างประเทศ โดยระบุในแถลงการสั้น ๆ ว่า “ประเทศของเราอาจยากจน แต่ก็ไม่ได้จนถึงขั้นต้องขายน้ำนมแม่”
เนื่องจากมีบริษัทสัญชาติอเมริกันหนึ่ง มาเปิดกิจการรับซื้อน้ำนมแม่ จากแม่ลูกอ่อนที่มีฐานะยากจนในเมืองสตุงเมียนเจย ประเทศกัมพูชา โดยรวบรวมน้ำนมแม่ที่ได้ส่งไปแปรรูป ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อ และจำหน่ายให้กับบรรดาแม่ที่ไม่สามารถผลิตน้ำนมเลี้ยงลูกด้วยตนเองได้ในสหรัฐฯ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐว่า การค้าน้ำนมแม่นี้เข้าข่ายการค้าผลิตภัณฑ์จากมนุษย์
นมแม่ห้ามขาย !! แม้จนยังไงก็ตาม หากนำไปขายจนหมดแล้วลูกตัวเองจะเป็นยังไง
องค์การยูนิเซฟ ได้ระบุว่า ธุรกิจค้าน้ำนมแม่นั้นเท่ากับเป็นการแสวงหาผลกำไรโดยเอารัดเอาเปรียบแม่ลูกอ่อนที่ยากจน และการแบ่งปั้นน้ำนมแม่นั้นไม่ควรทำเป็นการค้า นมแม่ส่วนเกินก็ควรต้องอยู่ในกัมพูชาและให้ลูกได้กิน เพราะนมแม่คืออาหารที่จำเป็น ถึงแม้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะทำกันอย่างแพร่หลายในกัมพูชา แต่เด็กที่นั่นยังคงมีปัญหาขาดสารอาหาร และจากสถิติพบว่าแม่ชาวกัมพูชาให้นมแม่เลี้ยงลูกในช่วง 6 เดือนแรก ลดลงจาก 75% ในปี 2553 เหลือ 65% ในปี 2557 นอกจากนี้ยังผู้แสดงความเห็นคัดค้านอีกจำนวนมากในเรื่องนี้ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าว ได้รับซื้อน้ำนมแม่จากแม่ลูกอ่อนในกัมพูชา ในราคาราว 17 บาทต่อปริมาณ 28 มิลลิลิตร และนำไปจำหน่ายในราคาที่สูงกว่านั้น 8 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เคยออกมาปกป้องธุรกิจของตนเองก่อนหน้านี้ว่า วิธีนี้เป็นการช่วยกระตุ้นให้แม่ ๆ ในกัมพูชาเดินหน้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขณะเดียวกันก็มีรายได้พิเศษเพิ่มเติม ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนนมแม่ในสหรัฐด้วย ทางบริษัทยืนยันว่าได้กำหนดให้แม่แต่ละคนนำนมแม่มาส่งขายได้เพียงวันละสองครั้ง และรับเฉพาะนมจากแม่ที่ได้ให้นมลูกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งเป็นระยะเวลาขั้นต่ำสุดที่องค์การอนามัยโลกแนะนำสำหรับทารกที่ควรได้รับนมแม่ โดยการขายนมแม่ให้กับทางบริษัทได้สร้างรายได้เสริมให้กว่า 90 ครอบครัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ทางการและผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งจะคัดค้านการค้าน้ำนมมารดา แต่แม่ลูกอ่อนและนักวิชาการผู้ศึกษาปัญหาสังคมของกัมพูชาอีกส่วนหนึ่งกลับบอกว่า การขายน้ำนมแม่เพื่อส่งออกต่างประเทศเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัวที่ฐานะยากจน ซึ่งแม่ลูกอ่อนส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานตามโรงงาน หรือหาของจากกองขยะไปขาย แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอ การขายน้ำนมจึงเป็นทางออกที่ทำให้แม่มีรายได้ตกวันละ 400 บาท และสามารถเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านได้ด้วย
ดร.อัญชลี พาล์มควิสต์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาการแพทย์จากมหาวิทยาลัยอีลอนในสหรัฐ ฯ ระบุว่า แม่ลูกอ่อนที่ขายน้ำนมตนเองนั้นเข้าใจผิดกันว่ากำลังขายน้ำนมที่เหลือจากลูกกิน โดยมองข้ามความต้องการบริโภคของลูกตนเอง เพราะความจริงแล้วแม่ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำนมได้เท่าที่ลูกตัวเองจะบริโภคเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในส่วน ศาสตราจารย์อันนุสกา เดิร์กส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสตรีของกัมพูชาบอกว่า ในสายตาของชาวบ้านกัมพูชาและตามพื้นฐานทางวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การให้น้ำนมแม่แก่หญิงคนอื่นถือเป็นการให้ความช่วยเหลือที่ช่วยผูกสัมพันธ์แบบเครือญาติให้แน่นแฟ้นขึ้น โดยถือว่าลูกของคนอื่นก็เหมือนกับลูกของตนเอง
ในเรื่องดังกล่าวนี้ คณะรัฐมนตรีของกัมพูชาจึงมีคำสั่งให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการป้องกันการซื้อขายและส่งออกน้ำนมจากแม่ชาวเขมรโดยทันที โดยระบุว่า แม้กัมพูชาจะเป็นประเทศยากจนและประชาชนมีชีวิตยากลำบาก แต่ไม่ถึงระดับที่จะต้องขายน้ำนมแม่.
ข้อมูลอ้างอิง :
www.bbc.com/thai
www.nationradio.co.th
www.thaipost.net
บทความอื่นที่น่าสนใจ :
เปิดใจคุณแม่สาวหล่อ เปิดอกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
บริจาคนมแม่เพื่อเด็กป่วย ช่วยเด็กยากไร้ให้เติบโต
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!