โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ : หูดหงอนไก่ อาการเป็นอย่างไร อันตรายหรือไม่?

theAsianparent Thailand ขอนำบทความเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หูดหงอนไก่ มาแบ่งปันทุกคนกัน มาดูกันว่าโรคดังกล่าวจะเป็นอย่างไร และควรป้องกันอย่างไรบ้าง
เรื่องของความสัมพันธ์อาจมีหลาย ๆ ปัยจัยที่ส่งผลให้ความสัมพันธ์แย่ลง หนึ่งในนั้นคือเรื่องสุขภาพ หลาย ๆ คนคงคิดไม่ถึงว่าสุขภาพจะส่งผลกับความสัมพันธ์อย่างไร วันนี้ theAsianparent Thailand ขอนำบทความเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หูดหงอนไก่ มาแบ่งปันทุกคนกัน มาดูกันว่าโรคดังกล่าวจะเป็นอย่างไร และควรป้องกันอย่างไรบ้าง
หูดหงอนไก่
หูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีสาเหตุหลักมาจาก เชื้อไวรัสต้นเหตุที่เรียกว่า ฮิวแมนแปปิโลมาไวรัส (HPV) ที่ถ่ายทอดถึงกันได้ง่าย ผู้ที่ให้เชื้ออาจจะไม่มีอาการอะไรเลย และผู้รับเชื้ออาจจะไม่มีอาการอะไรเลย กว่าจะเกิดอาการใช้เวลานานเป็นปี ปัจจุบันพบว่า หญิงชายวัยเจริญพันธุ์ โรคนี้พบบ่อยในช่วงวัยเจริญพันธ์ุ คือ ช่วงอายุ 16-25 ปี โดยเชื้อนี้มักเกิดบริเวณที่อับชื้น ทำให้เกิดรอยโรครอบอวัยวะเพศ โดยจะพบรอยโรคนี้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หูดหงอนไก่ไม่ได้ทำให้ใครเสียชีวิต แต่ทำลายความมั่นใจในชีวิตอย่างมาก รวมทั้งต้องเสียเงินและเวลาในการรักษามากมาย และยังพบเกิดซ้ำร้อยละ 30-70 หลังจากหยุดการรักษาไป 6 เดือน

หูดหงอนไก่
การติดต่อ
โรคนี้มักเกิดกับผู้ที่ไม่รู้จักรักษาความสะอาด เช่น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และที่พบได้ในจำนวนน้อยมาก ๆ คือการติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอด ในกรณีที่เด็กคลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่ เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการ
เชื้อหูดหงอนไก่มีระยะในการฟักตัวประมาณ 3 สัปดาห์จนถึง 8 เดือน เชื้อไวรัสชนิดนี้มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อสีชมพูหรือขาว ผิวขรุขระเป็นหยักคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ บริเวณที่พบส่วนมากจะเป็นบริเวณปากช่องคลอด รองลงมาคือที่แคมคลิตอริส รอบทวารหนัก ผนังช่องคลอด และปากมดลูก ในขณะที่บางรายมีเลือดออกจากก้อน คัน ตกขาวผิดปกติ หรือแม้แต่แสบร้อนที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่จะสามารถขยายจำนวนได้โดยได้รับการกระตุ้นจากความร้อน ความชื้น

หูด หงอนไก่
การรักษา
เป้าหมายของการรักษาคือ ความสวยงาม บรรเทาอาการ และลดความกังวลใจ วิธีการรักษามีให้เลือกหลายรูปแบบทั้ง การใช้ยา หรือการใช้อุปกรณ์เพื่อกำจัดหูดออกไป โดยทั่วไปหูดที่มีขนาดเล็กย่อมรักษาได้ง่ายกว่า โดยพบว่าถ้าขนาดเล็กกว่า 1 ตารางเซนติเมตรมักรักษาด้วยยาสำเร็จ ประสิทธิภาพของวิธีการรักษาแตกต่างกันไปและมีโอกาสเกิดซ้ำขึ้นได้อีกทุกวิธี โดยเฉพาะช่วง 6 เดือนแรกหลังสิ้นสุดการรักษา
การรักษาด้วยยาชนิดที่แพทย์ทาให้ โดยแพทย์มักจะนัดทุก 1 สัปดาห์ โดยก่อนทายาทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง ยามีหลายชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่

หูด หงอน ไก่
- โพโดฟีโลทอกซิน (Podophylotoxin) เป็นสารสีเหลืองน้ำตาล ลักษณะเหนียว ทำให้เซลล์ตายโดยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ ยานี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และปวด หากเข้าสู่กระแสเลือดอาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำ และ เกล็ดเลือดต่ำ
- ไตรคลอโรเซติกแอซิด (80-90% Trichloroacetic acid; TCA) ออกฤทธิ์โดยทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย หูดที่มีก้านมักหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน ทำให้เกิดผิวหนังระคายเคือง เป็นแผลเลือดออกได้
ยาที่ให้ผู้ป่วยทาเองในปัจจุบันมี 2 ชนิด ได้แก่
- อิมิควิโมด (5% Imiquimod/ Aldara®) ทา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่เกิน 16 สัปดาห์ ยานี้จะกระตุ้นภูมิต้านทานเฉพาะที่ ให้ร่างกายกำจัดไวรัสเอชพีวีด้วยตัวเอง ข้อเสียคืออาจทำให้เกิดผื่นแดงเฉพาะที่
- โพโดฟิลอก (Podofilox 0.5%) เป็นยาที่ยับยั้งการแบ่งเซลล์ วิธีการใช้คือทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน แต่ไม่เกิน 4 รอบ อาจทำให้เกิดระคายเคืองเล็กน้อย เช่นเดียวกับยาที่แพทย์ทาให้ ก่อนทายาเองทุกครั้งผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเสมอเพราะหลังจากทายาแล้วไม่ควรให้รอยทายาโดนน้ำอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เริม เริมคืออะไร อันตรายยังไง?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคหนองใน หนองในเป็นยังไง? อันตรายไหม?