หลักการเลือกเนอสเซอรี่ : 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ

หลักการเลือกเนอสเซอรี่ หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก หรือการเตรียมพร้อมเพื่อการศึกษาก่อนวัยเรียน นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ ยุคนี้ เพราะด้วยลักษณะของการอยู่อาศัยแบบครอบครัวเล็ก จึงทำให้ไม่มีญาติผู้ใหญ่มาช่วยเลี้ยงดูลูกหลานให้ แถมยังต้องออกไปทำงานประจำอีกด้วย การจะต้องหา Day Care จึงเข้ามามีบทบาทกับครอบครัวยุคนี้เป็นอย่างมาก
ในปัจจุบัน เนอสเซอรี่ มีเปิดกันอยู่มากมายหลายพื้นที่ บ้างก็ใช้บ้านทาวน์โฮม มาทำเป็นเนอสเซอรี่ บ้างก็เป็นอาคารพาณิชย์ บ้างก็ใช้สถานที่ในโรงเรียนประถม ดังนั้นผู้ปกครองสามารถเลือกได้ตามความพึงพอใจ และคิดว่าเหมาะสมกับการพัฒนา และปลอดภัยกับลูกของตน
ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ มักจะต้องลองผิดลองถูกกับการเลือกฝากลูกในสถานรับเลี้ยงเด็ก เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะไม่สามารถคำนึงถึงได้ในช่วงแรก ๆ สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ให้กับลูกน้อย ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอที่ใช่ ที่ถูกใจ และสามารถดูแลลูกน้อยเราได้ดี จนสามารถเราไว้วางใจได้อย่างสนิทใจ
หลักการเลือกเนอสเซอรี่ หรือสถานรับเลี้ยงเด็กที่ดี ต้องดูจากอะไรบ้าง?
- ที่จอดรถ อย่ามองว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ที่ไม่สำคัญนะคะ ลองคิดดูว่า ถ้าไม่มีที่จอดรถ แล้วช่วงที่เราจะต้องมาส่งลูกเพียงลำพัง แล้วลูกเรายังเล็กอยู่ เราจะทำอย่างไร นี่คือเรื่องที่จะต้องนำมาคิดเป็นอันดับหนึ่งค่ะ โดยสถานที่รับเลี้ยงนั้น จะต้องมีที่จอดรถเพียงพอต่อความต้องการของผู้ปกครอง และที่สำคัญ เจ้าของเนอสเซอรี่ จะต้องมีกฎที่เข้มงวดในระเบียบการจอดรถอย่างชัดเจน
- จำนวนนักเรียน ครู และครูพี่เลี้ยง ในแต่ละห้อง อัตราส่วน จะต้องไม่แตกต่างกันมากเกินไป จนสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง เช่น พี่เลี้ยงหนึ่งคน ไม่ควรจะดูแลเด็กเล็กมากกว่า 2 - 3 คน เพราะถ้าเยอะเกินไป จะทำให้ ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือถ้าเป็นเด็กโตขึ้นมาหน่อย จำนวนเด็กต่อกลุ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องมีทั้งคุณครู และครูพี่เลี้ยง อยู่ด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ ต้องคอยสำรวจเรื่อย ๆ เพราะอาจจะมีการรับเด็กเข้ามาเพิ่มเติมทีหลัง จนทำให้ได้แต่ปริมาณ แต่ไม่มีคุณภาพก็เป็นได้
- การแยกห้อง ต้องแยกให้ชัดเจน เนอสเซอรี่ที่ดี จะต้องมีการแบ่งเด็กออกเป็นห้อง ๆ เช่น ห้องเด็กอ่อน 6 - 12 เดือน, ห้องเด็กเล็ก 1 - 2 ปี และห้องเด็กโต 2 - 3 ปี และเมื่อแบ่งแล้ว ก็ไม่ควรให้เด็กมาอยู่รวมกัน
- อุปกรณ์ของเล่น และสถานที่ จะต้องมีความสะอาด ของเล่นทันสมัย เหมาะสมกับพัฒนาการเด็กตามวัย ซึ่งบางที่ จะมีแต่ของเล่นเก่า ผุ พัง และไม่มีการปรับปรุง อุปกรณ์เพื่อพัฒนาการตามสมัย นอกจากของเล่นแล้ว ลานเด็กเล่น ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะต้องมีให้เด็กด้วยเช่นกัน เพื่อให้เด็กได้ออกกำลังกาย ฝึกทักษะการใช้ร่างกาย เป็นต้น
- อัธยาศัย และทัศนคติ ของครู อันนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าครู หรือครูพี่เลี้ยง เป็นคนที่พูดด้วยยาก พูดจาห้วน อัธยาศัยไม่ดี มีทัศนคติด้านลบ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ แบบนี้ ก็อย่าให้ลูกไปเรียนที่นั่นจะดีที่สุดค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่า คนแบบนี้จะมีอารมณ์แปรปรวนอย่างไร แล้วอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ จะเข้ามามีอิทธิพลกับพฤติกรรมลูกเราแค่ไหน ขณะที่อยู่กับเขา คนเป็นครูเลี้ยงเด็กอ่อน ควรจะต้องพูดคุยด้วยง่าย มีอัธยาศัยดี ใจดี ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ จะต้องมีหลักการในการพูดคุยเพื่อสังเกต
- คุณภาพของอาหาร เมื่อเข้าไปดูเนอสเซอรี่ เราก็จะมีโอกาสได้เห็นอยู่แล้ว ว่าเด็ก ๆ ที่อยู่ในการดูแลของสถานที่นั้นทานอาหารแบบไหนกัน มีห้องครัวเป็นสัดส่วน สะอาด และถูกสุขลักษณะหรือไม่ ถ้าจะให้ดี ผู้ปกครองควรลองชิมอาหารดูซักนิด ว่าอาหารติดรสจัด ไม่เหมาะสมกับเด็กหรือไม่
- คุณภาพ และความสะอาดของที่นอน และห้องน้ำ ส่วนนี้เราสามารถเข้าไปตรวจสอบดูได้ เช่น ฟูกที่ใช้นอน ถูกจัดเก็บอย่างไร มีความสะอาดหรือไม่ ผ้าปูที่นอนจะต้องใหม่ และสะอาด ไม่เก่าเก็บจนเห็นได้ชัด ฟูกที่นอนก็ต้องใหม่ด้วย ไม่เช่นนั้น เด็กจะมีโอกาสเป็นภูมิแพ้จากฝุ่น และไรได้
- การแจ้งเตือน เมื่อมีโรคระบาด ทางเนอสเซอรี่ จะต้องทำการสำรวจเด็กอย่างสม่ำเสมอ หากมีเด็กคนไหนติดโรคติดต่อบางอย่าง จะต้องมีวิธีแจ้งให้กับทางผู้ปกครองให้ทราบโดยทันที และจับแยกเด็กไม่ให้อยู่ร่วมกัน เพื่อป้องกัน ไม่ให้มีการติดเชื้อต่อกัน
เนอสเซอรี่ หรือสถานรับเลี้ยงเด็กที่ดี จะต้องมีคุณสมบัติข้างต้น ที่กล่าวมาให้ครบถ้วน มากกว่านี้ได้ แต่ไม่ควรที่จะน้อยกว่านี้ ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ สถานที่รับเลี้ยงเด็กนี้ จะต้องมีทำเลที่ตั้งที่ สะดวกในการเดินทางไปรับ - ส่งด้วย ซึ่งพอเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ตัวเลือกขอเนอสเซอรี่ที่ดี ๆ ได้มาตรฐาน ยังมีอยู่น้อยมาก
ค่าใช้จ่ายในการฝากเลี้ยง
ค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กเล็กอายุ
ระหว่าง 1 เดือน - 5 เดือน ประมาณ 4,500 - 6,000 บาท
ระหว่าง 6 เดือน - 1 ปี ประมาณ 5,000 - 8,000 บาท
ระหว่าง 1 ปีขึ้นไป 7,000 บาทขึ้นไป
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเนอสเซอรี่นั้น ๆ
สิ่งที่ควรถามเพิ่มเติมจากเนอสเซอรี่
หากคุณพ่อคุณแม่มีตัวเลือกเนอสเซอรี่ไว้ในใจแล้ว ก็ควรหาโอกาสไปเยี่ยมชมเรื่อย ๆ ก่อนจะนำลูกไปฝาก และลองถามคำถามเหล่านี้ เพื่อเป็นการตัดสินใจว่า เราควรจะพาลูกมาฝากไว้จริงหรือไม่
1. หลักสูตรและกิจกรรม
มีหลักสูตร และการจัดกิจกรรมให้เด็กในลักษณะแบบไหน เน้นประเภทสอนร้องเพลง หรือมีกิจกรรมที่สอนให้เด็กเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือไม่
2. เป้าหมายที่กำหนดให้เด็กเรียนรู้
แนะนำว่า พยายามหลีกเลี่ยงเนอสเซอรี่ที่เข้มงวดกับการเรียนรู้มากเกินไป เพราะจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเครียด และเกลียดการเรียนรู้ไปโดยอัตโนมัติ ควรเลือกสถานที่ที่เน้นเรื่องทักษะของการเข้าสังคมให้เด็ก เพื่อที่จะพัฒนาการเข้าสังคม และพัฒนาการใช้ร่างกายเป็นหลัก
3. กิจกรรมประจำวัน
ในแต่ละวันมีตารางกิจกรรมเป็นแบบแผนมากน้อยแค่ไหน การให้เด็กได้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นเรื่องที่ดี แต่เด็กยังเล็กมาก ควรให้เขาได้เล่นตามใจชอบด้วยเช่นกัน
ทำอย่างไรถ้าลูกร้องไห้ทุกวันเมื่อเข้าเนอสเซอรี่
การร้องไห้ของเด็กถือเป็นเรื่องปกติในระยะแรก เด็กต้องอาศัยการปรับตัวเมื่อเริ่มต้นเข้าเนอสเซอรี่เพราะความไม่คุ้นเคยกับสถานที่ และคนแปลกหน้า โดยเฉพาะยิ่งเด็กที่อายุเกิน 2 ขวบ จะปรับตัวได้ยากกว่าเด็กเล็ก ๆ อย่างไรก็ตามช่วงเวลาปรับตัวของเด็กส่วนมากจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ หรือสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในวันที่ 2 และวันที่ 3
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำในช่วงแรก ๆ ที่ให้ลูกเข้าเนอสเซอรี่ คือการมารับลูกให้ตรงเวลาเสมอ ไม่เกิน 5 - 6 โมงเย็น และไม่ควรปล่อยให้ลูกอยู่รอพ่อแม่รับกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย เพราะจะทำให้เด็กเกิดความกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง
นอกจากนี้พ่อแม่ควรพูดถึงเนอสเซอรี่ในแง่บวกเสมอ ไม่ใช้เนอสเซอรี่ในการขู่ลูก หรือเป็นการทำโทษ เช่น ถ้าหนูงอแงจะพาไปอยู่เนอสเซอรี่ หรือถ้าพูดไม่รู้เรื่องจะทิ้งไว้ที่เนอสเซอรี่ หรือจะส่งให้ครูตี เป็นต้น เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกที่เป็นลบต่อการมาเนอสเซอรี่ และอาจมีต่อเนื่องถึงการไปโรงเรียนก็เป็นได้
สัญญาณบ่งบอกว่าลูกถูกทำร้าย
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ และนี่คือสัญญาณเตือนที่คุณพ่อคุณแม่ ต้องสังเกตให้เป็น หากลูกถูกทำร้ายจะได้รีบแก้ไขปัญหาได้ทัน
- โหยหาพ่อแม่ ถ้าปกติลูกไม่เคยโผเข้ากอดพ่อแม่หลังไปรับ แต่จู่ ๆ ลูกวิ่งเข้าหาพ่อแม่แบบโหยหา หรือร้องไห้ใส่ทันทีที่เห็นหน้า ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าอาจมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก หรือมาร้องไห้ทันทีที่ถึงบ้าน เพราะอยู่ต่อหน้าครูที่โรงเรียนแล้วไม่กล้าร้อง
- มีความหวาดกลัว ไม่อยากไปเนอสเซอรี่ ยิ่งถ้าปกติลูกเป็นเด็กร่าเริง แล้วอยู่ ๆ กลายเป็นไม่พูดไม่จา เงียบ ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า งอแง และร้องไห้ไม่ยอมไปเรียน ให้ถามลูกได้เลยว่า เกิดอะไรขึ้น
- พัฒนาการช้า ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปตามวัย งอแง ขี้ตกใจ
- พบรอยเขียวช้ำตามตัว ควรสังเกตตามตัวลูก ว่ามีรอยแผลเขียวช้ำหรือเปล่า โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นเป็นประจำ และควรเช็คในบริเวณร่มผ้าด้วย เพราะส่วนใหญ่พี่เลี้ยงมักทำร้ายในที่ที่มองเผิน ๆ ไม่เห็น
ถ้าลูกถูกทำร้ายจากเนอสเซอรี่ควรทำอย่างไร
- เมื่อสอบถามลูกแล้วพบว่าถูกทำร้าย ให้รีบพาลูกไปตรวจร่างกาย เพื่อให้แพทย์เช็คความผิดปกติ ถ่ายรูปร่องรอยที่ถูกทำร้าย และเก็บหลักฐานทางการแพทย์ไว้
- หากลูกไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และไม่ได้มีอาการผิดปกติ ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้วิธีสืบจากเพื่อน ๆ ในห้อง หรือผู้ปกครองคนอื่น ๆ ก่อน เพื่อหาพยาน และหลักฐาน จากนั้นให้รีบแจ้งผู้บริหารเนอสเซอรี่ เพื่อขอเช็คกล้องวงจรปิด และขอแนวทางแก้ไข
- หากลูกบาดเจ็บหนัก ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และศูนย์ดำรงธรรม หรือมูลนิธิคุ้มครองเด็กให้เข้ามาดูแล
- ย้ายเนอสเซอรี่ทันที เพื่อป้องกันลูกถูกทำร้ายอีก
จากข้อต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่เองควรจะต้องมั่นใจก่อนว่าลูกของเรา มีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ที่จะไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพ่อกับแม่คอยดูแลตลอดเวลา ในช่วงแรกคุณแม่อาจจะรู้สึกแย่ และเป็นกังวลอยู่บ้าง เวลาเห็นลูกร้องไห้ทุกเช้าเมื่อจะต้องแยกจากกัน แต่เด็กก็จะสามารถปรับตัวได้เมื่อเวลาผ่านไป จากนั้น เขาก็จะได้เรียนรู้การได้อยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ คุณพ่อคุณแม่เองก็มีคนช่วยดูแลลูกในเวลาที่จะต้องไปทำงาน เพียงแต่เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกคัดสรรเนอสเซอรี่ซักหน่อย เพื่อความสบายใจของเรา และเพื่อให้ลูกรักขอเรามีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ฝากเนอสเซอรี่ VS เลี้ยงลูกเอง 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 95
นีโอคิดส์ เนอสเซอรี่ เอาใจผู้ปกครองทำงานใจกลางเมือง ( School Hits )