วิตามินเอในผักผลไม้ แม่ท้องกินได้ไหม คนท้องห้ามกินวิตามินเอ ปริมาณเท่าไร ลูกเสี่ยงพิการจริงหรือ

วิตามินเอในผักผลไม้ แม่ท้องกินได้ไหม อันตรายรึเปล่า เคยได้ยินมาว่าวิตามินเอหากกินในช่วงที่ท้องจะทำให้เด็กในท้องพิการ แต่ถ้าเป็นวิตามินเอในผักผลไม้ละ
วิตามินเอในผักผลไม้ แม่ท้องกินได้ไหม อันตรายรึเปล่า
วิตามินเอในผักผลไม้ แม่ท้องกินได้ไหม อันตรายรึเปล่า วิตามินเอในผักผลไม้จะทำให้ลูกในท้องพิการไหม แต่วิตามินเอในผักผลไม้ก็มีในผักผลไม้ตั้งหลายอย่าง จะเลี่ยงไม่กินยังไงไหว
วิตามินเอ ทำทารกพิการ ถ้ากินมากไป
มีงานวิจัยเชิงระบาดวิทยาที่ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์เมื่อยี่สิบปีมาแล้ว โดยในงานวิจัยนั้นได้ตามดูหญิงมีครรภ์ 22,748 คน แล้วเปรียบเทียบการได้ลูกพิการของแต่ละคนกับขนาดของวิตามินเอ ที่กินระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งงานวิจัยนี้พบว่าหากขณะตั้งครรภ์กินวิตามินเอ มากกว่า วันละ 10,000 IU ขึ้นไป จะเกิดความพิการต่อทารกในครรภ์มากกว่าการตั้งของคนทั่วไป 3.7 เท่า
คือเกิดความพิการได้ 1 รายจากหญิงตั้งครรภ์ที่กินวิตามินเอขนาดสูงนี้ 57 ราย ข้อมูลจากงานวิจัยนี้บ่งชี้ว่ายิ่งกินวิตามินเอปริมาณหรือขนาดสูงมากขึ้น ยิ่งมีโอกาสได้ทารกพิการมาก แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เป็นการวิจัยตามดูกลุ่มคนโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบกับยาหลอก พูดง่าย ๆ ว่าเป็นหลักฐานระดับต่ำ แต่ว่าเราคงไม่มีโอกาสที่จะทำวิจัยหาหลักฐานระดับสูงกว่านี้อีกแล้วเพราะมันไม่ชอบด้วยจริยธรรมที่จะเสี่ยงทำวิจัยแบบนั้น
ถ้าจะกินวิตามินเอ วันละเท่าไหร่ จึงจะปลอดภัย
คำแนะนำของวงการแพทย์ที่ยอมรับกันทั่วไปสำหรับทุกคนรวมทั้งคนคั้งครรภ์ด้วยคือ ไม่ควรกินวิตามินเอเสริมเกินวันละ 4,000 – 8,000 IU ความจริงอาหารที่กินอยู่ทุกวันก็มีวิตามินเอ.อยู่แล้ว อาหารที่มีวิตามินเอมาก เช่น ตับ นม ไข่ เนื้อ ไก่ ปลา หากกินอาหารเหล่านี้อยู่ประจำก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกินวิตามินเอ เสริมแต่อย่างใด
คนท้องกินผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ วิตามินเอในผักและผลไม้อันตรายไหม
วิตามินเอในผักและผลไม้นั้น จะอยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายใช้ผลิตเป็นวิตามินเอ ไม่ใช่ในรูปของเรตินเอเหมือนในเนื้อสัตว์ จึงไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ ไม่เพิ่มอุบัติการณ์เกิดทารกพิการในครรภ์ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ไม่ต้องจำกัดผักผลไม้ซึ่งเป็นแหล่งหลักของเบต้าแคโรทีน
โดยปกติเบต้าแคโรทีนจะมีมากในแครอต ผลไม้สีเหลืองส้ม เช่น แคนตาลูป ลูกพีซ แอพริคอท มะม่วง ผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำเขียว แม้รับประทานมากก็ไม่พบความเสี่ยงในการเกิดวิตามินเอเกินปริมาณที่กำหนด เพราะจะมีการดูดซึมและเปลี่ยนรูปเป็นวิตามินเอได้ในปริมาณที่จำกัด
คนท้องต้องระวังวิตามินเอจากอะไรบ้าง
- วิตามินเอจากสัตว์ ถูกดูดซึมในรูปเรตินอล เช่น ตับ นม ไข่ ชีส ถ้าไม่ได้รับประทานต่อเนื่องทุกวัน ในปริมาณมาก ๆ ก็ไม่มีอันตราย
- วิตามินเอสังเคราะห์ อยู่ในรูปอาหารเสริมหรือยา ที่คุณแม่ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะถ้าได้รับมากเกินไปในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ จะทำให้เสี่ยงต่อภาวะแท้งหรือทารกพิการแต่กำเนิดได้ โดยเฉพาะยารักษาสิวอุดตันชนิดรุนแรงที่ใช้กันมากอย่างไอโซเตรตติโนอีน นั้น ห้ามใช้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นแบบใช้ทาผิว หรือทาหรือแต้มหน้าที่มีปริมาณกรดวิตามินเอน้อยกว่า ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลต่อความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้เช่นกัน
ที่มา Momjunction และ นพ.อานนท์ เรืองอุตมานันท์
วิตามินคนท้องที่ควรได้รับต่อวันมีอะไรบ้าง
- วิตามินบี 1 ควรรับประทานวันละ 1.5-1.6 mg.วิตามินบี 1 เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับพัฒนาการของระบบสมองส่วนกลางของทารกในครรภ์
- วิตามินบี 2 ควรรับประทานวันละ 1.6 mg.
- วิตามินบี 6 ควรรับประทานวันละ 2.2 mg.วิตามินบี 6 จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ และมีส่วนช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ด้วย
- วิตามินบี 9 (กรดโฟลิก) ควรรับประทานให้ได้วันละ 360-400 mcg.กรดโฟลิกจำเป็นอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ในช่วงเวลา 3 เดือนแรก และการได้รับกรดโฟลิกไม่เพียงพออาจส่งผลให้ทารกในครรภ์เกิดการพิการทางสมองและระบบประสาทไขสันหลังได้
- วิตามินบี 12 ควรได้รับวันละ 2.2 mg.
- วิตามินซี ควรได้รับวันละ 70-95 mg.
- วิตามินอี ควรได้รับวันละ 10 IU วิตามินอีจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อและเซลล์เม็ดเลือดของทารกในครรภ์ได้ และการขาดวิตามินอีอาจส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาน้ำหนักตัวน้อยได้
- วิตามินดี ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้แก่ทารกในครรภ์ ทำให้โครงสร้างกระดูกมีความสมบูรณ์เมื่อทารกโตขึ้น
- แคลเซียม ควรได้รับวันละ 1,200-1,500 mg. แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญมากสำหรับคนท้อง ช่วยในการพัฒนากระดูกของทารก การขาดแคลเซียมอาจทำให้ทารกในครรภ์มีกระดูกไม่แข็งแรงหรือทำให้เกิดกระดูกพรุนได้
- ไอโอดีน ควรได้รับวันละ 175-200 mcg. ในระหว่างตั้งครรภ์ ต่อมไทรอยด์จะทำงานมากขึ้น ทำให้ร่างกายมีความต้องการธาตุไอโอดีนมากขึ้น และการที่แม่ท้องได้รับไอโอดีนไม่เพียงต่อความต้องการ ก็อาจจะทำให้เป็นโรคคอพอกได้ และจะส่งผลถึงทารกโดยตรงคือ ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเล็กเกิน และมีสติปัญญาต่ำกว่าเด็กทั่วไปได้
- ธาตุเหล็ก ควรได้รับวันละ 30 mg. ธาตุเหล็ก มีส่วนสำคัญในการสร้างพัฒนาเซลล์เม็ดเลือด และมีความสำคัญอย่างมากต่อการช่วยในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
- แมกนีเซียม ควรรับประทานวันละ 300-355 mg.
- ฟอสฟอรัส ควรได้รับวันละ 1,200 mg. ขึ้นไป
- ซีลีเนียม ควรได้รับวันละ 65 mcg.
- สังกะสี หรือ ซิงค์ ควรได้รับวันละ 15 mg.
- สังกะสี หรือ ซิงค์ มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ของทารกในครรภ์
- น้ำมันปลา (Fish oil) ควรเลือกอาหารเสริมตัวที่มีปริมาณ DHA และ EPA สูง เพราะจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ ส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาฉลาด หัวไว
- โปรตีน มีความสำคัญอย่างมากในการสร้างเซลล์ของทารกในครรภ์
วิตามินเอในผักและผลไม้นั้นปลอดภัย สิ่งที่แม่ท้องหรือคนท้องควรระวังในการทานผักผลไม้คือน้ำตาล โดยเฉพาะผลไม้ที่มีความหวาน หากรับประทานมากเกินไป เสี่ยงต่อโรคเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์นะคะ
บทความที่น่าสนใจ
แม่ท้องห้ามกินวิตามินเอจริงหรือ ?
ผักผลไม้ที่แม่ไม่ควรกินขณะตั้งครรภ์และให้นมลูก
7 ความเชื่อของคนท้อง ข้อห้ามคนท้องตามความเชื่อโบราณมีอะไรบ้าง ความจริงคืออะไร
การดูแลหญิงตั้งครรภ์ วิธีดูแลคนท้อง บทบาทของสามีเมื่อภรรยาตั้งครรภ์ คนท้องต้องการกําลังใจ