บทสัมภาษณ์พิเศษ 3 คุณพ่อดีเจสุดซ่า ดีเจโบ ดีเจเผือก ดีเจอาร์ต

ในเดือนพิเศษของคุณพ่อนี้ theAsianparent รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาพูดคุยกับคุณพ่อดีเจทั้งสามคนแห่งบ้านเอไทม์
ดีเจโบ ธนากร ชินกูล : คุณพ่อน้องมิตตาลูกสาว อายุ 1 ขวบครึ่ง
ดีเจเผือก เผือก พงศธร จงวิลาส : คุณพ่อน้องลูกครับลูกชาย อายุ 1 ขวบครึ่ง
ดีเจอาร์ต มารุต ชื่นชมบูรณ์ คุณพ่อน้องอาธิ ลูกชายอายุ 2 ขวบ 10 เดือน
ใครเป็นแฟนรายการ “ใต้โต๊ะทำงาน” ของ Chill FM ค่ายเอไทม์ คงจะต้องรู้จักดีเจโบ ดีเจเผือก ดีเจอาร์ต เป็นอย่างดี เพราะความสนุกเฮฮาของทั้ง 3 คน รวมทั้งสาวๆแขกรับเชิญในรายการที่ทำให้หนุ่มๆออฟฟิสคึกครื้นได้ตลอด วันนี้พวกเขามีบทบาทใหม่อีกหนึ่งบทบาทคือ บทบาทคุณพ่อ การเป็นคุณพ่อสร้างประสบการณ์ให้พวกเขาอย่างไรบ้างนะ ไปพูดคุยกับพวกเขากันเลยค่ะ
- สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของตัวเองก่อนจะเป็นพ่อและหลังเป็นพ่อคน การดำเนินชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ?
โบ : สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของตัวเองก่อนจะเป็นพ่อและหลังเป็นพ่อคน สำหรับโบคิดว่าเป็นเรื่องเวลา เพราะแต่ก่อนเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลา ไม่เป็นระเบียบทุกอย่าง จะนอนกี่โมง จะตื่นกี่โมงก็ไม่ค่อยมีระเบียบกับชีวิต แต่พอมีลูกแล้ว ทุกอย่างก็ขึ้นตามลูกมากขึ้น ลูกตื่นกี่โมง ช่วงนี้เป็นยังไง จะต้องเลี้ยงดูยังไง วิถีชีวิตมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามลูก คิดว่าหลัก ๆ ที่เปลี่ยนก็เรื่องของเวลาและการใช้ชีวิตครับ
เผือก : สิ่งที่เปลี่ยนแปลงของตัวเองก่อนจะเป็นพ่อและหลังเป็นพ่อคน น่าจะเป็นเรื่อง Priority ความสำคัญในชีวิตอ่ะ เพราะเมื่อก่อนเรามีภรรยาคนเดียว ชีวิตเราก็หมุนตามภรรยา พอมีลูก ตัวภรรยาเองก็จะให้ความสำคัญ กับลูกเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเราก็กลายเป็นเหมือนอยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารในบ้านอยู่แล้ว กลายเป็นว่าจากที่จะต้องยึดภรรยาเป็นหลักในเรื่องเวลา เรื่องวันว่าง เรื่องอะไรอย่างนี้ ก็จะกลายเป็นมีลูกเป็นอันดับหนึ่งแทน อย่างเช่น ลูกจะต้องไปเรียนว่ายน้ำวันนี้ ก็พยายามเลี่ยงที่จะไม่รับงานในช่วงเวลาที่เขาต้องเรียน ก็กลายเป็นว่าเหมือนมี boss เพิ่มขึ้นมาอีกคนในบ้าน

ดีเจเผือก
อาร์ต : เปลี่ยนเยอะครับ มันจะสำมะเลเทเมาเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วอ่ะ จะเล่นอะไรมากไม่ได้ ทำอะไรมากไม่ได้ คือก็ไม่ได้มีใครห้ามนะ แต่ถ้าแบบ 5 ทุ่มยังนั่งสังสรรค์กับเพื่อน แล้ว 6 โมงเช้าลูกก็ปลุกเราแล้ว สุดท้ายมันจะไม่ไหวด้วยตัวมันเองอ่ะ บางสิ่งบางอย่างพอมีลูกเข้ามาเราก็จะเละเทะอะไรแบบเดิมไม่ได้ เรียกว่าชีวิตเราเริ่มมีทรงมากขึ้น เริ่มต้องดูแลชีวิตอีกคนหนึ่งมากขึ้น

ดีเจอาร์ต
เผือก : พี่ขอเพิ่ม พี่ทะเลาะกับภรรยาน้อยลงด้วย เราไม่อยากตีกันต่อหน้าลูกด้วย กลายเป็นเหมือนแบบเสียเวลาตีกันอ่ะ เอาเวลาไปเลี้ยงลูกดีกว่า
อาร์ต : ลำพังเลี้ยงลูกอย่างเดียวก็เหนื่อยอยู่แล้วอ่ะ มาตีกันอีก เสียเวลาเปล่า ๆ
- ความคิดของคำว่าครอบครัว ก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงาน เรานิยามมันว่าอะไร ?
โบ : ผมไม่มีคำนิยามเลยนะ ผมว่าก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงานใช้ชีวิตคล้าย ๆ เดิมเลยอ่ะ ที่เปลี่ยนจริง ๆ หลังมีลูกมากกว่า คือไม่มีคำนิยามอะไรให้กับชีวิตอยู่แล้ว ก็คือหาความสุขกันไปแต่ละวันอ่ะก่อนแต่งหลังแต่ง ก็เหมือนกันผมกับแฟน แต่ว่าช่วงที่เปลี่ยนจริงๆ ก็อย่างที่บอกคือช่วงหลังมีลูกครับ
เผือก : คำว่าครอบครัวเหรอครับ จริงๆมันก็เป็น unit เดิมอ่ะ สำหรับผมนะ unit ที่ผมคิดไว้มันก็เป็นเหมือนเดิม ก่อนแต่งก็คืออยู่กับภรรยาในบ้านหลังหนึ่ง และพอมีลูกก็มีเหมือนมีคนมาเพิ่มใน unit ของเรา มีพี่เลี้ยงเข้ามาเพิ่ม มีแม่บ้านเข้ามาเพิ่ม ที่รู้สึกเปลี่ยนเยอะไม่ใช่เพราะว่ามีลูกนะ แต่เป็นเพราะว่าย้ายบ้าน พอย้ายบ้านแล้วมันรู้สึกเปลี่ยนอ่ะ เรามองไปมันมีคนมานอนบ้านเราเพิ่มอ่ะ มันเลยรู้สึกว่าคำว่าครอบครัวเรามันเป็นเหมือน unit ที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นจากเดิมที่เราอยู่กันกับภรรยาสองคน พอย้ายบ้านมันเหมือนตั้งป้อมอ่ะ อยู่เป็นหลักเป็นฐานมากขึ้น
อาร์ต : ของผมถ้าตอนแต่งงานใหม่ ๆ ก็คล้าย ๆ พี่โบกับพี่เผือกนะ คือมันใช้ชีวิตแค่ 2 คน อยากจะไปเที่ยวไหนก็เที่ยว อยากจะกินไหนก็กิน อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่พอมีลูกแล้ว ต้องคิดเยอะไปกว่านั้นอ่ะ อยากจะซื้อรถใหม่ ก็ต้องมาคิดว่าจำเป็นไหม คันเก่ายังใช้ได้ไหม อยากจะใช้กระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่ ใบเก่ายังใส่ของได้ไหม ถ้าของเก่าของเดิมยังใช้ได้ เราเก็บเงินให้ลูกเราเรียนหนังสือดีกว่า ฝากเขียนลงในเว็บด้วยว่า มุมนี้ผมมีแต่ผมไม่ค่อยแสดง
- บทบาทของการเป็นพ่อในยุคใหม่ คิดว่าสิ่งท้าทายตัวเองคืออะไรบ้าง ?
เผือก : สิ่งที่ท้าทายตัวเองใช่ไหม คือเวลาที่เราออกไปทำงานอ่ะเราเหนื่อย งานที่เราทำบางทีมันใช้พลังค่อนข้างสูงมาก แต่กลับมาบ้านพลังต้องอย่าลด คือจะมานั่งฟุบ นั่งเงียบ ไม่เล่นกับลูกอย่างงี้อ่ะไม่ได้ ไปโยนภาระให้ภรรยาเลี้ยงคนเดียวอย่างงี้ไม่ได้ อย่างผมให้ตายยังไงกลับไปก่อนที่จะส่งเขาเข้านอน 20.30 มันก็ต้องเป็น 1 ชั่วโมงอย่างต่ำเป็นเวลาของเราที่จะเล่นกับลูก ห้ามขาดตกบกพร่อง ซึ่งมันโคตรท้าทายเลย บางทีกลับไปอยากนอน พอนอนก็เกรงใจเมียไง เมียตื่นอยู่อย่างงี้ ก็ไม่กล้านอนละ
อาร์ต : ท้าทายสุด ๆ เพราะว่าเราอยู่ในยุค 2 Gen อ่ะ 2 ยุคที่ยุคนึงไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีอะไรที่ทำให้โซเชียลมันใกล้กันขนาดนี้อ่ะ แต่ทุกวันนี้ ทุกอย่างมันง่ายไปหมด พอมันง่ายไปหมด ณ เวลาที่เราปล่อยลูกแค่ 5 หรือ 10 นาทีไปอยู่ในออนไลน์ เราไม่รู้ว่าเขาไปเสพอะไรมาบ้าง ไปเจออะไรมาบ้าง และมันเปลี่ยนแปลงความคิดเขาไปได้แค่ไหนในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนที่จีบหญิงต้องนั่งรถเมล์ไป มันง่าย อย่างในปัจจุบัน คือมันไม่ใช่อะไรง่าย ๆ ก็เลยรู้สึกว่าท้าทายความเป็นพ่ออยู่พอสมควร ว่าแบบจะปรับตัวได้ขนาดไหนที่อยู่กับเขาอ่ะ เพราะเราเป็นคนยุคเก่า เขาเป็นคนยุคใหม่
โบ : จริง ๆ ก็คล้ายกับอาร์ตนะ เพราะมันต้องเจอกับปู่ย่าตายายด้วย บางทีมันต้องผสมระหว่างการเลี้ยงของเรากับรุ่นเก่าด้วยอ่ะ แต่ถ้าถามว่ามันเปลี่ยนแปลงหรือยุคนี้มันเปลี่ยนยังไง จริง ๆ มันก็ใหม่หมดนะ เพราะเราก็ไม่เคยเป็นพ่อคนมาก่อน ทุกอย่างมันใหม่หมดสำหรับเรา มันก็ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน ก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ค่อย ๆ ปรับไป ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาสมัยใหม่ทั้งหมด ก็เอาสิ่งที่เรารู้สึกมันโอเคอยู่แล้วเวลาเราโตมา พ่อแม่เคยเลี้ยงดูยังไงก็เอามาปรับใช้ อันไหนที่เราคิดว่ามันไม่เหมาะกับยุคนี้ก็เปลี่ยนไปใช้ความรู้สึกแบบเรากับแฟนมากขึ้น และก็ผสมกับความที่พ่อแม่เคยเลี้ยงเรามายังไงก็เอามาผสม ๆ กัน
- เด็กยุคใหม่ควรมีคุณสมบัติอย่างไรในสภาพสังคมปัจจุบัน
อาร์ต : ถ้าถามตัวพี่ก็คือ “ต้องรู้เท่าทัน” ต้องให้ทันสถานการณ์ทุกอย่าง บางอย่างที่เขาถูกจูงหรือนำพาไป ต้องรู้เท่าทันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องไหม ต้องคิดให้ทันในระยะเวลาสั้น ๆ เอาตัวรอดให้ได้ ซึ่งโคตรยากเลย เอาจริง ๆ สำหรับตัวพ่อเองก็ยังยากเลยอ่ะ แต่ถ้ามีสติแล้วต่อตัวเองได้ให้เร็ว ก็น่าจะอยู่ในสังคมนี้ได้
เผือก : ผมว่าจิตต้องแข็งครับ เพราะว่าจากที่เราก็เคยผ่านการเป็นวัยรุ่นมา เราก็เจอกับสิ่งเร้าในยุคของเรา แต่ในฐานะที่เราโตเป็นพ่อแล้ว เรารู้สึกว่ายุคนี้สิ่งเร้ามันเยอะ เมื่อก่อนกว่าจะได้สิ่งเร้าที่ทำให้เราเสียคนสักอย่าง มันต้องวนกันทั้งรุ่นเลย กว่าจะมาถึงมือเรา แต่เดี๋ยวนี้ใครก็หาได้อ่ะ แค่เข้าอินเทอร์เน็ตก็เจอสิ่งเร้าเยอะแยะ แต่ก็คงห้ามไม่ได้ที่จะไม่ให้เขารู้เห็นหรือทดลอง แต่ถ้าเขาจิตแข็งพอ คิดในแง่ดีว่าถ้าเขาทดลอง มันก็จะอยู่แค่คำว่าทดลองอ่ะ มันก็คงจะไม่ถลำลึก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม ก็ภาวนาให้เขาเป็นเด็กที่จิตแข็งและสุดท้ายก็โตไปได้ เอาตัวรอดไปได้ เหมือนที่เราก็เคยผ่านมา
โบ : เขาก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเขาเองอ่ะ แต่ว่าอย่างแรกก็คือ ครอบครัวมันก็ต้องเป็นสถาบันที่มันใกล้ตัวเขาที่สุด มีอะไรก็พยายามให้เขากล้าที่คุยกับเราอ่ะ เพราะเราก็โตมาในครอบครัวที่เรากล้าคุยกับพ่อแม่ทุกเรื่อง และเราก็ลองทุกอย่าง และสุดท้ายมันก็ไปถึงหูเขา จริง ๆ แล้วมันห้ามไม่ได้แหละ ไม่ว่าจะส่งไปเรียนที่ดีขนาดไหน ทุกสังคมมันก็ต้องเลือกอ่ะ มีทั้งขาวทั้งดำ เพราะฉะนั้นก็ให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะกล้ากลับมาหาที่บ้านและทุกคนพร้อมที่จะรับฟังและให้คำปรึกษาเขา ก็ให้เขาสบายใจที่สุดที่เขาจะกล้าเล่าทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟัง อาจจะไม่ทุกเรื่อง แต่ก็ให้เขาสบายใจมากที่สุด ก็คิดว่าครอบครัวเนี่ยแหละสำคัญที่สุดที่เขาจะผ่านพวกทุกอย่าง สิ่งเร้าต่าง ๆ ในยุคปัจจุบันได้ เพราะว่าอย่างที่ทั้งสองคนพูดไป บางอย่างมันก็ใหม่มาก ๆ สำหรับเรา บางทีเราก็ควบคุมไม่ได้หรอก เอาให้เขารู้สึกมั่นใจละกันว่า ไม่ว่าเขาจะเจออะไร ครอบครัวก็พร้อมให้คำปรึกษาเขา สำหรับสกิลเขาผมไม่สนใจอ่ะ อันนั้นให้เขาไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผมว่าสกิลพวกนี้มันก็แล้วแต่คน แล้วแต่เด็ก สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีสกิลอะไรก็ครอบครัวแข็งแรงไว้ก่อน ผมว่ายังไงมันก็ยังกลับเข้าลู่เข้าทางได้
- สิ่งที่เราสอนลูกอยู่เสมอคืออะไร ?
เผือก : อย่าโยน อย่าโยนลูก อย่าโยนของออกนอกคอกลูก 555++
อาร์ต : นอนได้แล้วลูก 555++
โบ : ส่วนใหญ่เป็นอย่ากรี๊ดอ่ะช่วงนี้ เค้าเริ่มจะลงไปดิ้นแล้วด้วยอ่ะ ก็คงอะไรง่ายๆ อย่างงี้แหละเพราะมันยังเด็กมากอ่ะ อย่าทำนู่นอย่าทำนี่อ่ะช่วงนี้
- สิ่งที่ลูกสอนเรา หลังจากที่เราได้เป็นพ่อคืออะไร ?
อาร์ต : มันก็สอนว่า ในยุคสมัยที่เราเป็นเด็กและเราไม่เคยฟังผู้ใหญ่เลยเนี่ย คำตอบมันจะออกตอนที่เราเป็นพ่อ มันย้อนกลับมาทุกอย่าง ไอสิ่งที่เขาเตือน เขาเป็นห่วง ไอสิ่งที่เขาอะไรก็แล้วแต่ ทุกคำพูดอ่ะมันมาจากความห่วงใย มาจากคำสอน ทุกอย่างคือไม่มีสิ่งที่เลวร้ายปนเข้าไปเลย แต่มันแค่ขัดใจเราแค่นั้นเอง แต่ ณ วันหนึ่งที่เราโตขึ้นมา คือทุกอย่างมันย้อนกลับมาหมดเลยอ่ะ ไอสิ่งที่เขาพูดอะไรอย่างงี้ ก็แค่เจอเวลานี้ให้เร็ว จะได้กลับไปรักพ่อรักแม่ให้ทัน
เผือก : ก็คล้ายๆอาร์ตนะ ลูกสอนให้เราเข้าใจความเป็นพ่อมากขึ้นอ่ะ คือมันเป็นธรรมชาติของคนเป็นลูกอยู่แล้ว เวลายิ่งโตมันจะยิ่งเข้าใจคนเป็นพ่อเป็นแม่มากขึ้นในสิ่งที่เขาทำ แต่ว่ามันก็ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นจนวันที่เรามีลูกเนี่ยแหละ วันที่เรามีลูกเราจะรู้เลยว่า ไอสิ่งที่เราเคยคิดว่าพ่อแม่ทำแบบไม่เห็นมีเหตุผลเลย ทำไมทำแบบนี้ ตรรกะอะไรแบบนี้ พอวันที่เรามีลูกเราก็เข้าใจแล้วว่า อ่อทำไมเขาถึงทำแบบนี้ และก็สอนให้เราเสียสละ สอนให้เรารักความสุขส่วนตน และเอาความสุขของเขามาก่อน ความสุขของเราค่อยตามหลัง ก็พึ่งจะมาเข้าใจในช่วงปีครึ่งที่มีเขามาเนี่ยแหละ
โบ : จริง ๆ น่าจะเหมือนกันหมดแหละ สอนทุกเรื่องอ่ะ ความอดทนเป็นหลักเลย เพราะว่าเดิมผมเป็นคนไม่มีความอดทนเลย และก็ไม่ทนกับอะไรทั้งนั้นอ่ะ ส่วนใหญ่กับพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยทน กับแฟนก็ความอดทนต่ำ แต่กับลูกอ่ะ ผมอดทนมากที่สุด คือไม่ว่ายังไงมันจะต้องเหมือนกับว่าฝึกเราไปอ่ะ เด็ก ๆ ก็เป็นแบบนึง โตมาก็ค่อย ๆ ปรับตัวไปเรื่อย ๆ ความอดทนที่นี้ทั้งเรื่องการทำอาหารให้เขากิน การสอนนู่นสอนนี่ และทำให้เรามองตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเรามีข้อดีข้อเสียอะไร อะไรที่เราอยากจะถ่ายทอดให้เขาบ้าง เพราะว่าพอเรายิ่งโตมา เรายิ่งรู้สึกว่าอะไรที่เราไม่ชอบพ่อกับแม่ เราเป็นหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจะพยายามปรับให้เขาเห็นในด้านดี ๆ มากที่สุด คือเรามันก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว หมายถึงว่าเรามีทั้งด้านดีด้านร้ายอ่ะ ก็พยายามปรับให้เขาเห็นด้านดีมากที่สุด แล้วก็อีกอย่างลูกผมลูกสาวด้วยแหละ ก็จะมีความเป็นห่วงในหลาย ๆ เรื่อง ก็เหมือนทำให้เราค่อย ๆ โตไปพร้อมกับเขาอ่ะ หลัก ๆ ก็จะเป็นความอดทนและก็การรับฟัง เราก็ต้องโตในความเป็นพ่อของเราไปด้วย คืออย่างตอนนี้เราอายุ 38 เอาจริง ๆ ประสบการณ์ในการเป็นพ่อเราก็ยังน้อยมาก ๆ เพราะฉะนั้นก็ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับ กันไป
ได้ฟังประสบการณ์และความประทับใจจากคุณพ่อทั้งสามท่านแล้ว ต้องบอกเลยว่าน่ารักและอบอุ่นมากเลยค่ะ ทาง theAsianparent ต้องขอขอบคุณเรื่องราวดีๆที่คุณพ่อโบ คุณพ่อเผือก คุณพ่ออาร์ตได้มาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้นะคะ และสุดท้ายขอฝากรายการ “ใต้โต๊ะทำงาน” ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่มาฟังกันได้ทุกวันพุธ เวลาทุ่มครึ่ง ที่ Chill FM ค่ะ และ Youtube Atime Online

ติดตามรายการใต้โต๊ะทำงานได้ที่ Chill Fm ทุกวันพุธ 19.30 น.
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ :
เรียกพ่อสิครับ เช็คชื่อ 5 ดารา เซเลปเมืองไทย ที่เพิ่งเป็น คุณพ่อป้ายแดง
วันพ่อปีนี้ พาพ่อเที่ยวไหนดี รวม 10 ที่เที่ยว ที่เหมาะสำหรับคุณพ่อ
ภรรยา ตู่ ภพธร ตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง ได้ 14 วีคแล้ว ครอบครัวแฮปปี้ คุณพ่อพร้อมปิดอู่