โรคสมาธิสั้น หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ADHD “Attention deficit/ hyperactivity disorder” คือ กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการเข้าสังคมกับเด็กอื่น ๆ โดยจะมีอาการหลักคือ การควบคุมตนเองไม่ได้หรือคุมสมาธิไม่ได้ มีอาการซนอยู่ไม่นิ่งและหุนหันพลันแล่น เด็กบางคนอาจจะมีอาการซนและขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง ซึ่งมักพบในเด็กผู้ชาย และอาการชนิดเหม่อลอยจะพบได้ในเด็กผู้หญิง ส่วนอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลักที่พบได้พอ ๆ กันทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย
การรักษาโรคสมาธิสั้นสามารถทำได้ด้วยการรักษาทางยา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและช่วยเหลือด้านจิตใจของเด็ก หรือการช่วยเหลือทางด้านการเรียนที่ทั้งพ่อแม่และครูสามารถช่วยได้
คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า “ทุกขั้นตอนของพัฒนาการมีเวลาวิกฤต อาจจะยาก แต่ทำได้” ขอให้คุณแม่เข้าใจและใช้ความอดทนเมื่อต้องเจอกับลูกในภาวะสมาธิสั้น
1. ทำความเข้าใจว่า “เด็กสมาธิสั้น เรียนรู้โลกด้วยการวิ่งรอบ ๆ สิ่งที่เขาอยากจะรู้” ความหมายของสำนวนเรียนรู้ด้วยการวิ่งรอบ ๆ หมายถึงลูกจะไม่อยู่นิ่ง ชนนั่นนี่ล้ม ซึ่งคุณแม่ก็อย่าไปถือสาหรือแสดงอาการหงุดหงิดใส่ลูก ควรหาให้พบก่อนลูกว่าเขาต้องการอะไร อยากทำอะไร หรืออยากเล่นอะไร ให้ช่วยเหลือเขา และต้อง “รักเขาแบบที่เขาเป็น”
2.กำหนดขอบเขต ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กอะไรก็ตาม ขอบเขตที่ต้องขีดเสมอคือ สถานที่ และ เวลา เป็นกติกาที่แม่จะกำหนดกับลูกล่วงหน้า นั่นคือเล่นได้เฉพาะบริเวณนี้ และเข็มยาวจากตรงนี้ถึงตรงนี้ เท่านั้น และไม่ลืมที่จะให้รางวัลทุกครั้งที่ลูกสามารถทำตามขอบเขตได้
3.เมื่อแม่ขีดขอบเขตให้ลูกแล้วก็ปล่อยให้เขาได้อยู่ในอาณาเขตของเขา และดูแลขอบเขตของลูกให้ปลอดภัยด้วยการนำข้าวของที่สามารถแตกหักเสียหายออกนอกบริเวณให้หมด
4.การให้ลูกได้เล่นยังเป็นวิธีพื้นฐาน
· พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ให้ลูกได้วิ่งเล่น ดนตรี กีฬา ปีนป่าย หากิจกรรมที่ลูกชอบ เพื่อได้ระบายพลัง
· พัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เล่นทราย ระบายสี ดินน้ำมัน ต่อบล๊อกไม้ ฯลฯ ที่ลูกชอบ
· งานบ้านที่ลูกสามารถทำได้บ้างระหว่างทำ เช่นล้างจาน ถูบ้าน ซักผ้า ขัดห้องน้ำ
เป้าหมายของกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ผลสำเร็จว่าลูกทำได้หรือทำแล้วเรียบร้อย แต่เป็นการหาเรื่องเพื่อชื่มชมที่ลูกมีความตั้งใจและจดจ่อในสิ่งที่เขาทำได้
อยากรู้เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีโอกาสหายเมื่อโตขึ้นหรือไม่ >>
5.หาโอกาสเล่นกับลูกให้มากขึ้น เพราะพ่อแม่คือ “ฟองน้ำคอยดูดซับส่วนเกิน” ทั้งหมดนี้เพื่อช่วยลดอารมณ์แปรปรวนของเขา
6.หาเวลาคุยกับลูกเรื่องการควบคุมอารมณ์ พูดคุยล่วงหน้า โดยสร้างบรรยากาศภายในห้องให้ลูกรู้สึกสบาย ในห้องมีของเล่น หนังสือ ที่ลูกชอบ จัดให้เป็น “หลุมหลบภัยส่วนตัว” และบอกลูกว่าเมื่อเขารู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ให้มาอยู่ที่ห้องนี้ได้
7.งดแทปเล็ตหรือวิดีโอเกมที่ลูกเล่น ให้อ่านหนังสือก่อนนอนทุกคืน ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ช่วยได้แน่นอน
เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีโอกาสหายเมื่อโตขึ้นหรือไม่
เมื่อผ่านวัยรุ่นไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของเด็กสมาธิสั้นจะมีโอกาสหายจากโรคนี้ และสามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ตามปกติ โดยไม่ต้องรับประทานยา แต่ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ดูเหมือนจะซนน้อยลงและมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม เด็กบางคนสามารถปรับตัวและเลือกงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมากนัก ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่บางคนอาจจะยังคงมีอาการของโรคสมาธิสั้นอยู่มาก ซึ่งจะมีผลเสียต่อการศึกษา การงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง (ขอบคุณข้อมูลจาก www.ku.ac.th)
หากคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าบทความนี้มีความสำคัญและมีประโยชน์ โปรดแชร์บทความนี้เพื่อเป็นแนวทางให้แก่คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเป็นภาวะสมาธิสั้นท่านอื่น ๆ กันนะคะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก : เพจนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์, www.ku.ac.th
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
สมาธิสั้นแท้ VS สมาธิสั้นเทียม ต่างกันอย่างไร
รักษาโรคสมาธิสั้น พ่อแม่นั้นสำคัญที่สุด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!