เป็นเริม เป็นร้อนใน เป็นแผลที่ลิ้น ร้อนในใต้ลิ้น แตกต่างกันอย่างไร แผลในปากหากไม่ได้สังเกตดี ๆ เมื่อมองดูเผิน ๆ อาจจะคล้ายกัน แต่จริง ๆ แล้วมันต่างกันน่ะ แถมความรุนแรงยังต่างกันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เริม ที่ลิ้น ร้อนในเกิดจากอะไร หลายคนสงสัยว่ามันต่างกันตรงไหน อันไหนเรียกเริม เริมในช่องปาก อันไหนเรียกร้อนใน แล้วแบบไหนมันร้ายแรงกว่ากันล่ะ
ร้อนในใต้ลิ้น ร้อนในเกิดจากอะไร
เริมในช่องปาก เป็นแผลที่ลิ้น เริมที่ลิ้น เกิดจากอะไร
สาเหตุมาจากการขาดน้ำ หรือทานน้ำไม่เพียงพอ โดยเริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำขนาด 2 – 3 มม. จะอยู่เป็นกลุ่ม ๆ หรือจะพบเป็นแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอกในริมฝีปาก มีระยะในการฟักตัวประมาณ 2 – 3 วัน และจะเป็นมากใน 4 – 5 วันมาก
ในเด็กเล็กจะมีไข้ ร้องไห้งองแง และไม่ยอมที่จะดูดนม อาหารก็ไม่กิน มีตุ่มน้ำขึ้นมาแล้วจะแตกเป็นแผลสีเทา มีอาการของเหงือกบวมแดงร่วมด้วย ทำให้บางครั้งก็มีกลิ่นปากเลือดออก และแผลจะหายไปเองภายในระยะเวลา 10 – 14 วัน สำหรับเด็กโต และผู้ใหญ่ จะมีอาการไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีหนองที่ผนังคอหอย หรือบนทอนซิล มีแผลที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเหงือก จะหายไปเองภายในระยะเวลา 7 – 10 วัน
บางคนเริ่มอาจไม่หายภายในระยะเวลาดังกล่าว เพราะมีภาวะแทรกซ้อนเข้ามาทำให้หายช้า เช่นหนองพุพองจากการอักเสบของเชื้อแบคทีเรีย หากขึ้นที่ตาจะทำให้ตาอักเสบเสี่ยงต่อตาพิการ ถ้าลามไปที่อวัยวะเพศหญิง ก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูก และถ้าเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 เข้าที่ประสาทใบหน้า อาจทำให้เส้นประสาทอักเสบ ถึงขั้นอัมพาตครึ่งซีกได้ แต่จะเกิดขึ้นรุนแรงมากกับทารกแรกเกิด และหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ จะทำให้ตุ่มกระจายไปทั้งตัว หากเชื้อมีความรุนแรงมากก็อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้
สาเหตุของโรคเริม?
โรคเริม เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex virus หรือ เชื้อ HSV ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ
- Herpes Simplex virus type 1 หรือ เชื้อ HSV ชนิดที่ 1 มักพบการติดเชื้อบริเวณปากหรือรอบ ๆ ปาก เกิดขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น มีความเครียด พักผ่อนน้อย ร่างกายอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการเจ็บป่วยหรือผ่าตัด หรือ แม้แต่ช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ก็สามารถป่วยด้วยโรคนี้ได้ เช่น อาการเริมที่ปาก
- Herpes Simplex virus type 2 หรือ เชื้อ HSV ชนิดที่ 2 เป็นการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ หรือ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทหารหนัก อวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ เป็นต้น
การติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่นการติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่าง ๆ
การป้องกันโรคเริม?
การป้องกันโรคเริม นั้นสำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ ต้องหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพราะเชื้อเริมอาจมีในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ซึ่งเราสามารถสัมผัสเชื้อผ่านสิ่งของเครื่องใช้ การใช้สิ่งของหรืออุปกรณ์ในที่สาธารณะ หากร่างกายอ่อนแอ และถ้าหากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรง เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายเชื้อก็จะสามารถก่อโรคและอันตรายได้
วิธีรักษาโรคเริม?
การรักษาโรคเริม นั้นเน้นการรักษาตามอาการ เนื่องจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีอาการไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลียได้ แต่ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีอาการไข้สูงให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียด และป้องกันอันตรายจากภาวะแทรกซ้อน
การรักษาที่สำคัญที่สุดของโรคเริม คือการป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น ดวงตา เพราะการติดเชื้อเริม บริเวณใดก็ตามต้องดูแลตุ่มใสไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้อซ้ำซ้อน เพราะถ้าหากติดเชื้อแทรกซ้อน จะทำให้เกิดการทำลายอวัยวะที่ติดเชื้อได้ เช่น ติดเชื้อที่ดวงตาสามารถทำให้ตาบอด หรือสูญเสียการมองเห็นได้ หากติดเชื้อลุกลามอวัยวะภายในก็สามารถสร้างความอันตรายได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมองเป็นต้น
ร้อนในใต้ลิ้น
อาการร้อนใน
เกิดจากแผลที่เปื่อยในช่องปาก จะมีหลายแผลหรือแผลเดียวก็ได้ มีหลายขนาดตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเเมตร สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีข้อมูลว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ถ้าครอบครัวมีใครป่วยเป็นโรคนี้บ่อย ๆ ทำให้เกิดโรคนี้ได้เอง ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นบ่อย ๆ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดโรค ได้แก่ ความเครียด อารมณ์ฉุนเฉียว นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก นอนน้อย กัดเหยื่อบุปาก หรือแรงฟัน ใช้ยาสีฟันบางชนิด ทานอาหารร้อนจำพวก ของทอด ของมัน แอลกอฮอล์ ไอศกรีม ของหวาน ปลไม้ที่มีรสหวานมาก ๆ อาหารรสจัด แพ้อาหารบางอย่าง อยู่ในช่วงภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อไวรัส และช่วงมีประจำเดือน
คนที่เป็นจะแรกเริ่มจะรู้สึกเจ็บ มีรอยแดง ประมาณ 2 – 3 วัน แผลจะเปื่อย จากนั้นก็จะเกิดอาการเจ็บแผล ปวดแสบปวดร้อน ซึ่งมีความรุนแรงอยู่ 3 ระบบด้วยกัน คือ
- แผลร้อนในเล็ก จะเป็นเพียงแผลตื้นๆ มีขนาดเล็ก แผลจะเป็นสีขาวขุ่นหรือเหลือง แล้วมีวงสีแดงอยู่รอบแผล และจะหายภายใน 7 – 14 วัน
- แผลร้อนในใหญ่ จะมีขนาดใหญ่กว่า 1 ซม. มีรอยแผลลึก บวม หายช้า อาจเป็นร่วมเดือน เมื่อหายแล้วจะเกิดเป็นแผลเป็น และพังผืด
- แผลร้อนในชนิดคล้ายเริม ช่วงแรกจะเกิดเป็นตุ่มใสหลาย ๆ ตุ่ม จากนั้นจะกระจายออกไป แล้วรวมกันเป็นแผลขนาดใหญ่ ทำให้กินน้ำ และอาหารได้ยาก สามารถหายได้เอง แต่ใช้เวลานานกว่ามาก และจำเป็นต้องไปหาหมอเพื่อให้ทานอาหารได้ง่ายขึ้น
สาเหตุการเป็นร้อนใน
สาเหตุของการเกิดแผลร้อนในยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยโอกาสที่จะเป็นแผลร้อนในจะเพิ่มมากขึ้นหากพบว่ามีสมาชิกในครอบครัวมักเป็นแผลร้อนใน ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน เช่น เกิดจากสารก่อภูมิแพ้หรืออาหารบางชนิด รวมไปถึงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดแผลร้อนใน ได้แก่
- การตอบสนองต่อแบคทีเรียในปาก
- เชื้อไวรัส
- เกิดการบาดเจ็บที่ปาก
- เกิดจากความเครียด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- มีประจำเดือน
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
- การแพ้อาหาร หรือการขาดวิตามินและแร่ธาตุ
การป้องกันการ เป็นร้อนใน
แผลร้อนในมักเกิดจากสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อาการเจ็บป่วย หรือกรรมพันธุ์ ดังนั้นจึงป้องกันการเกิดอาการได้ยาก แต่สามารถลดความถี่ในการเป็นแผลร้อนในให้น้อยลงได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การดูแลสุขภาพและอนามัยของช่องปาก แปรงฟันหลังมื้ออาหารเป็นประจำหรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะช่วยให้ช่องปากสะอาดไม่มีเศษอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนใน ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟตหรือหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง นอกจากนั้น สำหรับผู้ที่จัดฟันอาจมีส่วนที่มีความคมทำให้บาดและอาจเกิดแผลร้อนในได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางป้องกัน
- การรับประทานอาหาร พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดความระคายเคืองในปาก เช่น ถั่วทอด มันฝรั่งทอด อาหารที่มีรสจัด อาหารเค็มจัดและผลไม้ที่มีกรดมาก เช่น สับปะรดหรือส้ม รวมไปถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพจะช่วยป้องกันการขาดวิตามินและแร่ธาตุ ควรรับประทานผักและผลไม้หรือธัญพืชมาก ๆ
บทความที่เกี่ยวข้อง อุทาหรณ์ โรคเริมในเด็ก ใครจะคิด ลูกน้อยติดเริม จนเกือบตาบอด เพราะจูบของแม่
การรักษาด้วยตนเอง
แผลร้อนในสามารถหายได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยในช่องปาก เช่น การแปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เพื่อให้แผลร้อนในหายได้เร็วขึ้น รวมไปถึงดื่มนม รับประทานโยเกิร์ตหรือไอศกรีม ก็สามารถช่วยลดความเจ็บปวดจากแผลร้อนในได้
แผลร้อนในอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก ซึ่งสามารถลดลงได้ด้วยการกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากอ่อน ๆ หรือน้ำเกลือ ยาใช้เฉพาะที่บางชนิดที่หาได้ตามร้านขายยาทั่วไป ก็สามารถบรรเทาอาการเจ็บแผลร้อนในได้ เช่น ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)
ร้อนในใต้ลิ้น
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการเป็นเริม และการ เป็นร้อนใน แล้ว จะเห็นว่าลักษณะของแผลจะคล้ายกัน แต่ลักษณะอาการต่างกัน แถมยังแสดงอาการต่างกันด้วย ดังนั้น พ่อแม่ควรจะสังเกตอาการของลูกให้ดีเมือ่ลูกเริ่มมีตุ่มหรือแผลในปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้อย ๆ ที่เป็นเริม ต้องระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความร้ายแรงและรุนแรงกว่าร้อนใน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ป้องกันลูกเป็นเริม ห้ามคนอื่น “จูบลูก” อย่างเดียวคงไม่พอ
ลูกร้อนใน แม่ร้อนใจ
แก้วหัดดื่ม แนะนำอุปกรณ์ถ้วยหัดดื่มตัวช่วยดี ๆ สำหรับลูกน้อย
ที่มา : 1
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!