ผ่าคลอดแนวตั้ง แนวนอน ต่างกันอย่างไร
ปัจจุบันคุณแม่หลายคนนิยมเลือกวิธีการผ่าคลอดเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยข้อบ่งชี้แตกต่างกันไป ทั้งเหตุจากตัวคุณแม่เองหรือเหตุจำเป็นของทารก อีกทั้งวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทำให้การผ่าตัดคลอดมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทื้งนี้คุณแม่ที่เลือกใช้วิธีผ่าคลอดลูกควรรู้ การผ่าตัดคลอดบุตรที่ผนังหน้าท้อง มีอยู่ 2 แบบ คือ ผ่าคลอดแนวตั้งและผ่าคลอดแนวนอน ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ผ่าคลอดแนวตั้ง แนวนอน แบบไหนสวย แบบไหนจะหายเร็ว คุณหมอได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้
#ผ่าคลอดแนวตั้ง
คือการลงแผลในแนวดิ่งที่ผนังหน้าท้องช่วงล่างตรงแนวกลางลำตัว ตั้งแต่ระดับต่ำกว่าสะดือยาวลงมาจนถึงระดับเหนือกระดูกหัวหน่าวเล็กน้อย ความยาวแผลประมาณ 10 เซนติเมตร การลงแผลแนวนี้จะผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้น จนสามารถเข้าช่องท้องได้ง่าย
#ผ่าคลอดแนวนอน
การผ่าลักษณะนี้จะเป็นที่นิยมกว่า สวยงามกว่า ทำโดยการลงแผลแนวขวางที่ผนังหน้าท้องด้านล่าง ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ตรงตำแหน่งรอยพับของหน้าท้องหรือระดับประมาณ 2 เซนติเมตรสูงจากขอบบนของกระดูกหัวหน่าว ขั้นตอนการผ่าจะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย
เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียแผลผ่าคลอดแนวตั้ง vs แนวนอน
แผลผ่าคลอดแนวตั้ง
ข้อดี
- เป็นแนวแผลมาตรฐาน สามารถผ่าตัดอวัยวะอื่นในช่องท้องได้ด้วย
- ใช้เวลาในการผ่าตัดเพื่อเข้าสู่ช่องท้องได้เร็วกว่า เหมาะสมในรายที่ต้องการความเร่งด่วนในการคลอด
- สามารถขยายแผลได้ง่ายหากมีกรณีจำเป็น
- ผ่าตัดได้ง่าย สะดวกกว่า
- สามารถช่วยคลอดทารกได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะกรณีที่ทารกอยู่ผิดท่า หรือ ตัวใหญ่กว่าปกติ
- มีภาวะแทรกซ้อนจากแผลผ่าตัดน้อยกว่า เช่น ก้อนเลือดในผนังหน้าท้อง
ข้อเสีย
- เจ็บแผลผ่าตัดมากกว่า เนื่องจากมีบาดแผลในแนวตั้ง ทำให้เวลาลุกขยับตัวยาก
- ฟื้นตัวช้ากว่า
- มีแผลเป็นมากกว่า
- เห็นรอยแผลได้ชัดเจน ไม่สามารถใส่เสื้อเปิดพุงได้
แผลผ่าคลอดแนวนอน
ข้อดี
- เจ็บแผลผ่าตัดน้อยกว่าการผ่าคลอดแนวตั้ง เนื่องจากมีบาดแผลแนวนอนตามรอยพับของหน้าท้อง ทำให้รู้สึกเจ็บแผลน้อยกว่าเวลาขยับลุก
- มีแผลเป็นน้อยกว่า เพราะลงมีดตามแนวของรอยพับผิวหนัง
- สามารถปิดบังแผลได้ดีในกรณีที่ใส่เสื้อเปิดพุง
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการผ่าตัดเข้าสู่ช่องท้องนานกว่า เหมาะสมกับการผ่าตัดคลอดที่ไม่เร่งด่วนมาก
- ผ่าตัดได้ยากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่มีพังผืดในช่องท้องร่วมด้วย
- ช่วยคลอดทารกได้ยากกว่า เนื่องจากรอยแผลอยู่ต่ำ ต้องเพิ่มการใช้อุปกรณ์ช่วยคลอดศีรษะทารก
- หากมีการผ่าตัดอื่นในช่องท้องร่วมด้วยจะทำได้ยากกว่า
- มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของแผลมากกว่า เช่น ก้อนเลือดค้างในผนังหน้าท้อง
การผ่าตัดโดยส่วนใหญ่สูติแพทย์จะเป็นผู้กำหนดแนวการลงแผลผ่าตัดคลอด โดยพิจารณาจากความจำเป็นซึ่งหากลงแผลแนวตั้งตรงจะแจ้งให้คุณแม่ทราบก่อนล่วงหน้า เนื่องจากในทางปฏิบัตินิยมลงแผลแนวนอนมากกว่าด้วยเหตุผลของความสวยงามเป็นหลัก และมักจะเลือกลงแผลตามแนวเดิม โดยตัดเนื้อเยื่อแผลเป็นเก่าออกก่อน แล้วจึงทำการผ่าตัดคลอดตามปกติ
การผ่าคลอดในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ไกลตัวคุณแม่อีกต่อไป เมื่อคุณแม่ทราบข้อดี ข้อเสียดังกล่าว คุณแม่อาจมีส่วนร่วมกับแพทย์ในการพิจารณาเลือกแนวแผลผ่าคลอดที่เหมาะสมหรือปรึกษาสอบถามคุณมาก่อนถึงกำหนดคลอดได้นะคะ
ไม่ว่าคุณหมอจะวินิจฉัยหรือคุณแม่ตัดสินใจแบบไหนก็ตาม หลังจากผ่าคลอดแล้ว อย่าละเลยเรื่องการเร่งคืนภูมิต้านทานให้ลูกน้อยทันที เพราะทารกที่เกิดจากการผ่าคลอดไม่ได้รับพรีไบโอติกหรือจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดแม่ ซึ่งเปรียบเสมือนภูมิต้าทานตั้งต้นเหมือนเด็กที่คลอดตามธรรมชาติ ดังนั้นทารกที่ผ่าคลอดจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานเช่น ลำไส้อักเสบ ได้มากกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติ
ดังนั้นเด็กผ่าคลอดจึงควรได้รับนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก และต่อเนื่องหลังจาก 6 เดือนควบคู่กับการให้อาหารตามวัยอย่างเหมาะสมกับอายุไปจนถึง 2 ขวบหรือมากกว่า เพราะนมแม่มี จุลินทรีย์สุขภาพโพรไบโอติก และพรีไบโอติกหรืออาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อช่วยในการส่งเสริมภูมิต้านทานให้แก่ลูกน้อย
บทความใกล้เคียงที่น่าสนใจ :
ผ่าคลอด ไม่เครียด!นี่เลยวิธีเตรียมก่อนผ่าและดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไวไม่นูนแดง
เตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องไปผ่าคลอด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!