ไขข้อข้องใจ ประจำเดือนผิดปกติ แบบไหน มีบุตรยาก
การที่จะมีประจำเดือนตามปกตินั้น ต้องอาศัยการทำงานประสานกันระหว่างต่อมใต้สมองส่วนหน้า กับอวัยวะสืบพันธุ์ โดยที่ต่อมใต้สมองจะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่า FSH ให้สูงขึ้น เพื่อมากระตุ้นให้รังไข่ผลิตไข่และฮอร์โมนแอสโตรเจน ซึ่งหากมีภาวะใดก็ตาม ที่ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไปจากภาวะปกติ ก็จะส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ และบางครั้งก็อาจส่งผลให้เกิดภาวะ มีบุตรยาก ในอนาคตได้
สังเกตอาการผิดปกติของประจำเดือนอย่างไร
1.ความถี่ของการมีประจำเดือน
ปกติแล้ว ประจำเดือนควรมาทุก 21 – 35 วัน จะสามารถตกไข่ตามปกติ 80% ถ้ามีประจำเดือนถี่หรือห่างกว่านี้ มักจะไม่ตกไข่เรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลให้ประจำเดือนมาห่างและมีบุตรยากครับ เนื่องจากไม่มีไข่ไปปฏิสนธิกับอสุจิ เช่นผู้ป่วยโรค PCOS หรือ PCO (Polycystic Ovarian Syndrome) โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะเป็นผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมาก และอาจมีอาการของภาวะฮอร์โมนเพศชายเด่น เช่นหร้ามัน ขนดก เมื่ออัลตราซาวด์ดูรังไข่จะพบฟองไข่ใบเล็กๆจำนวนมากที่ไม่สามารถเจริญเติบโตจนไม่สามารถตกออกมาได้ สะสมอยู่ภายในรังไข่
นอกจากนี้ โรคอื่นๆเช่น ไทรอยด์ เนื้องอกต่อมใต้สมอง หรือแม้กระทั่งความเครียด ก็อาจส่งผลต่อการตกไข่และทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้
2.ปริมาณและระยะเวลาของเลือดประจำเดือนที่ออก
ระยะเวลาของเลือดที่ออกนั้น ปกติแล้วควรอยู่ที่ระยะ 2 – 7 วัน และปริมาณที่ออกสามารถวัดได้จากจำนวนผ้าอนามัยที่ใช้ ขนาดปกติไม่เกิด 3 – 4 แผ่นต่อวัน
หากมีลิ่มเลือดขนาดเกินปลายนิ้วก้อยปนออกมา หรือหากมีเลือดออกกะปริบกะปรอยหลังจากประจำเดือนหยุดแล้ว ก็อาจเป็นสัญญาณของการเกิดปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูก และเป็นสาเหตุทำให้มีบุตรยาก เพราะตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวและเจริญเติบโตต่อในโพรงมดลูกที่มีความผิดปกติได้
3.อาการปวดประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนที่มีความปกติ เช่น มีการปวดท้องน้อยเกือบทุกครั้ง มีอาการปวดหน่วงลงช่องคลอดหรือทวารหนัก ปวดหลังทั้งก่อนและหลัง หรือระหว่างมีประจำเดือน ซึ่งมักจะมีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้ว อาการอื่นๆที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้หญิง มีบุตรยาก ได้แก่ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่รังไข่ หรือช็อคโกแลตซีส
คุณควรสังเกตความผิดปกติต่างๆของประจำเดือนที่อาจเกิดขึ้น เพราะจะช่วยให้คุณสามารถประเมินความสามารถในการมีลูกเบื้องต้นได้ง่ายๆด้วยตัวเอง ซึ่งหากคุณสังเกตเห็นความผิดปกติต่างๆ หรือมีความกังวล ก็ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยเพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับมือและแก้ไขได้ทันท่วงทีครับ
ที่มา thaihealth
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!