ท้องนอกมดลูก คืออะไร ท้องนอกมดลูก มีสาเหตุมาจากอะไร ป้องกันและรักษาอย่างไร ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อภาวะ ท้องนอกมดลูก คืออะไร ไปติดตามกันเลย
ท้องนอกมดลูกคืออะไร
ท้องนอกมดลูก คือ การตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นจากการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้วนอกโพรงมดลูก ร้อยละ 95 เกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ นอกจากนั้นอาจพบได้ที่รังไข่ ปากมดลูก หรือในช่องท้อง และเนื่องจากตำแหน่งที่ฝังตัวนั้นไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตตามปกติ จึงทำให้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้
อาการท้องนอกมดลูกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่สาเหตุส่วนใหญ่ของการตั้งครรภ์นอกมดลูกที่บริเวณท่อนำไข่ สันนิษฐานว่าเป็นผลมาจากการอักเสบของท่อนำไข่ ส่งผลให้เกิดพังผืดขึ้นจนท่อนำไข่ตีบแคบ และผิดรูป ตัวอ่อนจึงไม่สามารถเคลื่อนผ่านไปได้ในเวลาที่เหมาะสม ทำให้เกิดการฝังตัวบริเวณดังกล่าว
บทความที่เกี่ยวข้อง : 100 สิ่งแม่ท้องต้องรู้ ตอนที่ 38 ท้องนอกมดลูกคืออะไร อันตรายไหม
อาการท้องนอกมดลูก
อาการท้องนอกมดลูก เป็นสาเหตุทำให้มารดาเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก นอกจากนั้นยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมาในอนาคตอีกด้วย
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการ ท้องนอกมดลูก
- คนที่เคยเป็นโรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- เคยตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน
- เป็นผู้มีบุตรยาก
- เคยผ่าตัดช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานมาก่อน
- เป็นโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ (ปวดท้องประจำเดือนเรื้อรัง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์)
- เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณท่อนำไข่ (เช่น ทำหมัน)
- สูบบุหรี่ หรือใช้ยาคุมฉุกเฉิน
บทความที่เกี่ยวข้อง : 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 21 มดลูก จะเข้าอู่เมื่อไร ?
ท้องนอกมดลูกมีอาการอย่างไร
อาการที่พบบ่อย ๆ ได้แก่ อาการปวดท้องน้อยเฉียบพลัน หากเลือดออกในท้องปริมาณมากก็อาจทำให้มีอาการปวดไหล่ร่วมด้วย มีอาการหน้ามืด อ่อนเพลียหรือเป็นลง มีเลือดออกกะปิดกะปรอยทางช่องคลอด และขาดประจำเดือน
1. อาการไม่ปรากฏเด่นชัด
ในระยะแรกของคนท้องนอกมดลูก มักไม่มีอาการสำคัญที่ปรากฏเด่นชัด แต่ส่วนใหญ่อาจมีอาการที่คล้ายสัญญาณการตั้งครรภ์ทั่วไป เช่น
- ประจำเดือนไม่มา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสัญญาณการตั้งครรภ์ที่สามารถพบได้ในผู้หญิงทั่วไป
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดเล็กน้อย ช่วงแรกของการตั้งครรภ์จะมีเลือดออก บางคนเข้าใจว่าแท้งลูก แต่จริงๆ แล้วผู้หญิงตั้งครรภ์ระยะแรกมักจะมีเลือดไหลออกมา ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
- เจ็บหน้าอก คล้ายมีประจำเดือน แต่ถ้าประจำเดือนขาด ก็อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ แต่ทั้งนี้การเจ็บหน้าอกสามารถบอกโรคได้หลายสาเหตุไม่ใช่คือการตั้งครรภ์อย่างเดียว
- คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ อาการทั่วไปของคนท้อง แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการนี้เลยก็ได้
2. อาการปรากฏเด่นชัด
สัญญาณที่ปรากฏเด่นชัดของอาการท้องนอกมดลูกจะแสดงออกมากขึ้นหลังจากข้อ 1 ซึ่งเป็นการท้องนอกมดลูกที่มีอาการป่วยรุนแรงขึ้น และผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากเนื้อเยื่อภายในมดลูกอาจก่อความเสียหายแก่ท่อนำไข่ หรือท่อนำไข่ฉีกขาด
- ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน หากเริ่มมีอาการปวดรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะคนท้องอาจปวดเชิงกรานในลักษณะปวดเมื่อยแค่เพียงระยะๆ เท่านั้น
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดจำนวนมาก คล้ายอาการแท้งลูก
- ปวดไหล่ ปวดคอ ปวดบริเวรทวารหนัก เนื่องจากกล้ามเนื้ออักเสบอย่างรุนแรง
- หน้ามืดเป็นลม วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- หากท้องมดลุกโดยไม่รู้ตัว อาจเกิดภาวะช็อคได้ ต้องรีบไปพบแพทย์ด่วนก่อนมีอัตรายถึงชีวิต
ท้องนอกมดลูกพบได้บ่อยขนาดไหน
การท้องนอกมดลูกเกิดขึ้นไม่บ่อย อาจพบในผู้หญิงร้อยละ 1 การที่ท่อรังไข่อุดตันอาจเกิดจากการติดเชื้อซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดการท้องนอกมดลูก
หากคุณกำลังวางแผนจะมีลูกแต่กำลังเป็นโรคติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ ทางออกที่ดีที่สุดคือ รักษาตัวให้หายดีเสียก่อนแล้วจึงค่อยพยายามมีลูก
อาการท้องนอกมดลูก
การวินิจฉัยอาการท้องนอกมดลูก
ก่อนอื่นแพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วย ถึงการมีประจำเดือนและตรวจร่างกายบริเวณหน้าท้องร่วมกับการตรวจภายใน จากนั้นจะทำการตรวจเลือด พร้อมกับทำการตรวจอัลตราซาวด์ โดยมีรายละเอียดการตรวจทดสอบดังนี้
1. การตรวจภายใน (Pelvic Exam)
แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงตรวจเพื่อตรวจเช็คบริเวณที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด หรือบริเวณที่อาจพบความผิดปกติ เช่น ท่อนำไข่ หรือรังไข่ โดยการใช้เครื่องมือเพื่อส่องตรวจภายในผ่านทางช่องคลอด
2. ตรวจเลือดหาฮอร์โมนและอัลตราซาวด์
ขั้นตอนนี้คือการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (Human Chorionic Gonadotropin: hCG) เมื่อตรวจพบฮอร์โมนที่บ่งชี้ว่ามีการตั้งครรภ์ แพทย์จะตรวจอัลตราซาวด์ด้วยการใช้เครื่องมือตรวจบริเวณหน้าท้อง แล้วฉายภาพภายในช่องท้องเพื่อหาตัวอ่อนทารกที่ฝังตัวอยู่ในมดลูก
3. ตรวจโดยเครื่องมืออัลตราซาวด์
เครื่องมือแบบชนิดสอดเข้าไปภายในช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound) เพื่อหาตัวอ่อน หากตรวจไม่พบหรือไม่มีร่องรอยของตัวอ่อน แพทย์อาจวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยกำลังท้องนอกมดลูก
4. ตรวจไม่พบตัวอ่อน
อาจเป็นการตั้งครรภ์ในระยะแรกเริ่ม ตัวอ่อนจึงมีขนาดเล็กมาก หรืออาจเกิดการแท้งลูก ดังนั้น หากตรวจไม่พบตัวอ่อนฝังตัวในมดลูก หรือบริเวณปีกมดลูก อาจมีการบวมและเนื้อเยื่อ หรือมีลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเกิดจากตัวอ่อนไปฝังตัวแล้วสร้างความเสียหายแก่เนื้อเยื่อในบริเวณนั้น
5. มีอาการตกเลือด
เนื่องจากมีการตรวจด้วยวิธีการต่างๆ แล้วยังไม่ปรากฏว่าผู้ป่วยท้องนอกมดลูกหรือไม่ แต่กลับมฃีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดปริมาณมาก แพทย์อาจทำการผ่าตัดเพื่อตรวจดูบริเวณท่อนำไข่และอวัยวะที่ใกล้เคียง และทำการรักษาเนื้อเยื่อในบริเวณต่อไป
แพทย์จะรักษาอาการท้องนอกมดลูกอย่างไร
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้รับการวินิจฉัยว่า ท้องนอกมดลูก ควรได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพและการเจริญพันธุ์ในอนาคต ซึ่งตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่นอกมดลูกจะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้อีก โดยแพทย์จะมีวิธีการรักษาคุณแม่ที่ท้องนอกมดลูก ดังนี้
1. การใช้ยาเพื่อรักษาคนไข้
ขั้นแรกในการรักษา แพทย์จะจ่ายยาเพื่อรักษาตามอาการ เช่น ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) เป็นเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนที่ฝังตัวกลายเป็นเนื้องอก และพัฒนาต่อไปเป็นเนื้อร้าย ซึ่งแพทย์อาจฉีดยานี้ให้ผู้ป่วยแล้วตรวจเลือดติดตามอาการเพื่อดูผลการรักษา ยาตัวนี้จะมีผลข้างเคียงคล้ายอาการแท้งลูก คือ ชาหรือปวดเกร็งหน้าท้อง มีเลือดและเนื้อเยื่อไหลออกจากช่องคลอด แต่ทั้งนี้คุณแม่อาจจะยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เป็นเวลาอีกหลายเดือนหลังการใช้ยา
2. การผ่าตัด
หากมีอาการที่รุนแรงขึ้น แพทย์จะทำการผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparotomy) โดยสร้างรูเล็กๆ แล้วนำเครื่องมือชนิดพิเศษสอดเข้าไปในรู ซึ่งคือ กล้องขยายขนาดเล็ก แพทย์สามารถมองเห็นส่วนที่ต้องการผ่าตัดจากกล้อง แล้วนำตัวอ่อนที่ฝังตัวนอกมดลูกออกมา จากนั้นแพทย์จะรักษาซ่อมแซมเนื้อเยื่อบริเวณที่ได้รับความเสียหาย หากเสียหายมาก แพทย์อาจต้องผ่าตัดนำท่อนำไข่ออกไปด้วย
3. การรักษาภาวะแทรกซ้อน
นอกจากการรักษาภาวะแท้งนอกมดลุกแล้ว อาจจะต้องรักษาอาการแทรกซ้อนจากการท้องนอกมดลูกร่วมด้วย เช่น ภาวะช็อกจากการเสียเลือดมาก ซึ่งต้องให้เลือดทดแทน หรือจะเป็นอาการอักเสบติดเชื้อภายในมดลูก คนไข้อาจต้องได้รับยาลดการอักเสบและยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
อาการแทรกซ้อนของการท้องนอกมดลูก
ภาวะแทรกซ้อนของการท้องนอกมดลูก จะไม่เกิดขึ้นหากผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที แต่ในบางกรณีที่ผู้ป่วยท้องนอกมดลูก หรืออาจได้รับการตรวจวินิจฉัยช้าเกินไป จึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เนื่องจากท่อนำไข่ และอวัยวะในบริเวณที่ไข่ฝังตัวอาจเกิดความเสียหาย ฉีกขาด หรือเกิดการติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยเกิดการตกเลือดได้ ทั้งนี้ยังนำไปสู่ ภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (Disseminated Intravascular Coagulopathy: DIC) จนเกิดอาการช็อคจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ท้องนอกมดลูกป้องกันได้อย่างไร
- ระวังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากติดเชื้อให้รีบไปพบแพทย์และรักษาโรคให้หายขาด หากซื้อยามาทานเองบ่อยครั้งมักไม่เพียงพอ และอาจทำให้เกิดอาการติดเชื้อเรื้อรังและทำให้เกิดพังผืดอุ้งเชิงกรานได้
- หากเป็นโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
- งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง
เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ คุณแม่บางคนก็อาจมีอาการปวดเสียวท้องน้อย คล้ายกับช่วงมีประจำเดือน ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว ก็ยังถือว่าปกติ แต่หากเริ่มปวดท้องมาก หน้าซีด เป็นลม ควรรีบไปพบคุณหมอทันที เพราะนั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังมีอาการท้องน้องมดลูกอยู่ก็ได้
บทความที่น่าสนใจ :
ไตรเฟอร์ดีน 150 (Triferdine 150) คือยาอะไร ทำไมต้องกินตอนตั้งครรภ์
ท้องแก่ นอนไม่หลับ ทำไมยิ่งใกล้คลอดยิ่งนอนไม่หลับ
วิธีนับลูกดิ้น นับอย่างไร ถึงจะรู้ว่าลูกปลอดภัย ไม่เสียชีวิตในครรภ์
ที่มา : 1, 2, 3
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!